ครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่นักแสดงหนุ่มจากญี่ปุ่น ผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีแห่งชาติของประเทศอย่างคุณ “ยามาดะ ยูกิ” ได้บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาพบกับแฟนๆ ที่ประเทศไทย ในงาน First Screening Event ของภาพยนตร์เรื่อง “โตเกียวรีเวนเจอร์ส ฮัลโลวีนสีเลือด ศึกตัดสิน” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา ก่อนจะฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วไปในวันที่ 31 สิงหาคม ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟนๆ วัยรุ่นโตมันที่ซื้อบัตรมาหานักแสดงเจ้าของบท “ดราเค่น” รองหัวหน้าแก๊งโตเกียวมันจิไคกันอย่างล้นหลาม บางคนก็ติดตามมาตั้งแต่ผลงานแรกอย่างบท “โจ กิบเค็น/โกไคบลู” จากโกไคเจอร์ หรือแม้แต่บางคนก็บินตามยามาดะซังมาจากญี่ปุ่นด้วย เรียกได้ว่าบรรยากาศอบอุ่นเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
หลังจบ Fan Screening Event ทั้งสองรอบ ยามาดะซังก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ ด้วยความเป็นกันเอง ดังนี้
“ตอนที่ทราบว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีภาคต่อรู้สึกอย่างไรบ้าง?“
ยามาดะ : ตอนที่ได้ทราบว่าจะมีการทำภาคสองต่อ มันเป็นช่วงที่ภาคแรกกำลังถ่ายทำอยู่พอดี แล้วตอนนั้นเนี่ย ก็รู้สึกว่าทุกคนเต็มที่กับหนังภาคแรกมาก ๆ เลย โดยที่ไม่ได้คาดหวัง และไม่ได้คิดว่าจะได้สร้างภาคถัดไป เพราะว่าทุกคนต่างเห็นว่าจะทําหนังภาคเดียวให้ดีที่สุดก่อน และพอมันเสร็จสมบูรณ์ปุ๊บ ฟีดแบ็คมันค่อนข้างดีเลย ก็เลยสรุปว่าจะทําภาคต่อ พอได้ยินว่าจะมีภาคต่อจริง ๆ ก็รู้สึกประหลาดใจ แล้วก็มีความรู้สึกกังวลใจตามมาด้วย ว่าเราจะสามารถทําให้มันเป็นกระแส ทําให้มันดีเท่ากับหนึ่งได้หรือไม่? ก็รู้สึกกังวลเหมือนกันครับ
“ก่อนที่คุณจะรู้ว่าต้องแสดงเป็นดราเค่น เคยอ่านการ์ตูนเรื่องโตเกียวรีเวนเจอร์สมาก่อนหรือเปล่า?”
ยามาดะ : เคยอ่านมาก่อนครับ เพราะว่าโยชิซาว่า เรียว(ไมค์กี้ / มาสค์ไรเดอร์เมเทโอ)เนี่ย เป็นคนแนะนำประมาณว่า “อ่ะ ลองอ่านเรื่องนี้ดูสิ อ่านเอาไว้ก่อนนะ แล้วถ้าเกิดว่าเรื่องนี้ได้ถูกสร้างเป็นภาคคนแสดงขึ้นมาจริงๆ ก็อยากจะให้นายเล่นเป็นดราเค่นนะ” ผมก็เลยได้ลองเริ่มอ่านดูครับ แล้วผมก็เพิ่งมารู้ตอนหลังด้วยว่า คิตามุระ(ทาเคมิจิ) กับโยชิซาว่าเขาแอบไปคุยกันว่า “ถ้าเรื่องนี้จะมีฉบับคนแสดง ก็อยากให้ยามาดะเล่นเนอะ”
“ประทับใจฉากไหนที่สุดในโตเกียวรีเวนเจอร์ส?”
ยามาดะ : ฉากแรกที่ประทับใจ มันจะอยู่ในหนังภาคแรกเลย จะมีบทที่พูดว่า “จงคิดถึงจิตใจของคน” ซึ่งผมรู้สึกว่าประโยคนี้มันเข้ากับตัวผมมากๆ เลย คือผมเป็นคนที่เห็นด้วยกับประโยคนี้อยู่แล้วครับ ก็เลยยิ่งอินกับมัน แล้วเวลาที่ผมจะต้องพูดประโยคนี้ออกมาในฉาก ก็จะรู้สึกว่ามันสําคัญมากนะ จนแอบกังวลด้วยว่าจะแสดงออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ก็รู้สึกประทับใจมากๆ แล้วก็ประทับใจฉากแอ็คชั่นด้วย คือผมเนี่ยเป็นคนที่ผ่านงานแอ็คชั่นมาเยอะมาก ต่อสู้มาก็หลายเรื่อง ซึ่งเวลาที่เราชมภาพยนตร์เนี่ย หนังมันฉายออกมาแบบรวดเดียวจบ แต่จริงๆ ตอนถ่ายทำไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันต้องถ่ายซ้ำ หลายคัท หลายเทค อย่างเช่นการชกแม้ครั้งเดียว ก็ถ่ายตั้งหลายคัท ทั้งมุมด้านหน้า มุมด้านข้าง มุมด้านหลัง หลายคัทนะ เพื่อให้ได้มุมกล้องที่ดีที่สุด ก็ต้องมีการใช้เทคนิคด้วย ซึ่งตัวผมเองก็ทุ่มเทมากๆ แล้วก็หนังแอ็คชั่นมันก็มีเยอะอ่านะ ผมก็อยากจะให้งานมันออกมาไม่ซ้ำกับใครครับ
“องค์ประกอบสําคัญของหนังเรื่องนี้ที่ไม่พูดถึงเลยไม่ได้ ก็คือคอสตูม แล้วคอสตูมเหล่านี้มีส่วนช่วยให้คุณเข้าถึงบทบาทได้มั้ย?“
ยามาดะ : อย่างทรงผมของดราเค่น สำหรับคนไทยก็คงคิดว่าเป็นทรงผมที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ แล้วก็ทำให้ลุคดูค่อนข้างแรงเลยใช่ไหมครับ? ผมเป็นคนที่พอได้แสดงเรื่องไหน ก็อยากจะทำให้เต็มที่ แล้วก็อยากจะเคารพต้นฉบับที่เป็นการ์ตูนต้นแบบให้มากที่สุด ซึ่งทรงผมที่ว่าเนี่ย มันก็ต้องโกนด้านหลัง แล้วก็เหลือด้านบนไว้ ซึ่งก็ได้ตัดให้เหมือนในการ์ตูนแล้ว แล้วก็จะมีช่วงที่ต้องตัดสกินเฮดด้วย ผมก็พูดเลยว่าอยากจะทําทรงนี้ แต่ก็ถูกต้นสังกัดห้ามไว้ก่อนว่า “อย่าทําเลยนะ ขอร้องล่ะ” ก็เลยอดทําครับ
“ได้ยินมาว่าในภาคศึกตัดสินนี้ มีเนื้อหา รวมถึงฉากแอ็คชั่นที่ดุเดือดขึ้นมากเลย อยากจะทราบว่าในส่วนของการแสดงนั้น มีความท้าทายมากกว่าภาคก่อนหน้าหรือไม่?”
ยามาดะ : ในการถ่ายฉากต่อสู้ มันก็จะต้องถ่ายแบบวันคัดด้วย ซึ่งค่อนข้างยาว ผมต้องสู้กับศัตรูถึง 20 คน ไอ้เรื่องความยากเนี่ย มันอยู่ตรงที่ว่าจะรักษาพละกําลังยังไงให้ยังคงที่ตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งในช่วงนั้นเนี่ย ผมก็มีรับงานแสดงเรื่องอื่นอยู่ด้วย ซึ่งการรักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอเลยเป็นเรื่องสำคัญมากครับ
“ฉากต่อสู้ไหนที่คุณใช้เวลาซ้อมนานที่สุด?”
ยามาดะ : ก็คงเป็นฉากที่พูดไปในเมื่อสักครู่นี้ครับ ที่ต้องต่อสู้กับ 20 คน แต่ตอนซ้อมก่อนถ่ายจริงเนี่ย มันไม่ใช่การซ้อมที่จะสู้กับคู่ต่อสู้จริงๆ เพราะว่าตอนซ้อมเนี่ย ผมจะไปคุยกับผู้กํากับฉากต่อสู้ ว่าจะเล่นยังไง? ฉากนี้จะเกิดอะไรต่อ? ขั้นตอนนั้นก็จะมีการคุยกันก่อน แล้วก็แสดง แล้วก็เสร็จเลย ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 2-3 วัน แล้วช่วงนั้นเนี่ย ผมก็ยุ่งมากด้วย เพราะว่ามีถ่ายอีกสองเรื่องพร้อมกัน แล้วก็เพื่อนๆ ที่เล่นในเรื่องเดียวกัน ทุกคนก็คิวทองกันหมด เลยหาเวลามาร่วมซ้อมด้วยกันยาก เลยจะซ้อมเดี่ยวซะมากกว่า แล้วก็ค่อยมาเจอกัน คุยกันก่อน แล้วก็แสดงเลยค่ะ
“ในโตเกียวรีเวนเจอร์ส ภาคแรกกับภาคสอง ตัวละครดราเค่นมีการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่อย่างไร?”
ยามาดะ : ด้วยความที่พอเข้าสู่ภาคสองแล้วเนี่ย ก็เลยมีดราเค่นทั้งตอนเป็นวัยรุ่น แล้วก็ตอนเป็นผู้ใหญ่แล้ว ซึ่งข้อแตกต่าง อย่างตอนวัยรุ่นก็จะมีความสดใส หัวเราะบ่อยมากกว่า แล้วพอโตขึ้นก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ก็ต้องแสดงกันคนละแบบ สังเกตความแตกต่างได้ตรงที่ ตอนที่ฆ่าคนแล้ว จะมีท่าทีที่นิ่งแบบแปลกๆ คือถ้าเป็นดราเค่นสมัยก่อนกับตอนนี้มันก็จะไม่เหมือนกันครับ แล้วก็ฉากที่ต้องเล่าเรื่องราวย้อนหลัง โดยอาศัยการบอกกับทาเคเมจิว่า “นี่นายจําไม่ได้เหรอ?” นี่เป็นการบอกให้คนดูสังเกตด้วยว่า แต่ก่อนเป็นยังไง? ตอนนี้เป็นยังไง? พูดไปแล้วก็เริ่มงงเองซะแล้ว (ทุกคนในห้องหัวเราะ)
“จุดไหนของดราเค่นที่คุณชอบมากที่สุด?”
ยามาดะ : ตรงที่ชอบนึกถึงจิตใจผู้อื่นครับ
“ทําไมแฟนๆ ถึงไม่ควรพลาดชมโตเกียวรีเวนเจอร์ส 2 ฮาโลวีนสีเลือด ในโรงภาพยนตร์?”
(คุณเรโกะบอกก่อนแปลว่า “ลึกซึ้งมากๆ เลยนะคะ”)
ยามาดะ : ในยุคสมัยนี้ ทุกคนสามารถชมภาพยนตร์ หรือคอนเทนท์ต่างๆ ผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งหลายคนอาจจะดูไปพร้อมๆ กับการทำกิจวัตรของตัวเอง อย่างดูตอนกำลังนั่งรถ หรือตอนกำลังเดิน หรืออาจจะเร่งคอนเทนท์ให้เร็วขึ้น 1.5 เท่ายังได้เลย ทําให้รับชมคอนเทนท์แบบผ่านๆ ได้เนอะ แต่ว่าการรับชมในโรงภาพยนตร์เนี่ย เราต้องโฟกัสสมาธิไปที่หน้าจอ ดูว่าผู้กำกับเขากำลังนําเสนออะไร? นักแสดงคนนี้แสดงออกแบบไหน? ถือว่าเป็นการเรียนรู้ผู้คนด้วย การเรียนรู้ผู้คนก็ถือการศึกษาอย่างหนึ่งนะครับ การที่เราได้เรียนรู้ผู้คน ได้รู้จักโลกกว้างเนี่ย มันจะทําให้มนุษยชาติของเราพัฒนาต่อไปได้อีก ดังนั้น การรับชมหนังในโรงยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญมากครับ
(คุณเรโกะถามสื่อว่า “สุดยอดเลยใช่ไหมคะ?” ก่อนที่ทุกคนในห้องจะปรบมือให้เขา)
“คุณสามารถพูดภาษาไทยได้ไหม? หรือมีคําศัพท์อะไรที่อยากจะเรียน?”
ยามาดะ : ผมอยากจะพูดว่า “ยามาดะ ยูกิ เป็นนักแสดงที่ดีนะ”
(คุณเรโกะสอนเจ้าตัวพูด และเขาขอให้ทุกคนช่วยพูดให้ฟัง)
“ขอให้ฝากอะไรถึงแฟนๆ ชาวไทยที่สนับสนุนผลงานหน่อยค่ะ?”
ยามาดะ : จากการได้มาเมืองไทยครั้งนี้ ก็ทําให้ได้รู้ว่า มีผู้คนอีกมากมายที่ยังชื่นชมและอยากจะเห็นผลงานของเรา แล้วการนำมันมาฉายเนี่ย ก็ต้องใช้ความร่วมมือของหลายฝ่าย ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะยังไม่เยอะมาก แต่ผมก็ดีใจมากเลยครับที่มีคนทําเพื่อผมแบบนี้ ซึ่งตอนที่อยู่แค่ในประเทศญี่ปุ่นเนี่ย ผมอาจจะยังไม่รู้ แต่พอมีโอกาสเดินทางมาต่างประเทศเนี่ย ก็ได้เห็นโลกกว้างเนอะ ได้เห็นว่านอกประเทศเนี่ยก็มีแฟนคลับของเราอยู่เหมือนกัน และก็อยากจะให้คนต่างชาติได้เห็นคอนเทนท์ของญี่ปุ่น ทั้งหนังและละครมากขึ้น. เพราะที่ญี่ปุ่นเนี่ย ยังมีผู้กํากับ นักแสดง ทีมงานที่มีคุณภาพอีกมากมาย แล้วก็อยากจะให้มีหนังญี่ปุ่นมาฉายในโรงแบบนี้อีกเยอะๆ เลย ผมอยากให้โลกได้เห็นมันมากขึ้นครับ อย่างที่เมื่อกี๊ผมพูดเรื่องของ “การรู้จักจิตใจของผู้คน” เนี่ยแหละครับ ผมอยากจะรู้จักจิตใจของผู้คน แล้วก็อยากจะให้ทุกคนได้เห็นผลงานของพวกเราด้วย ช่วยเชียร์กันด้วยนะครับ
(ทุกคนปรบมือ)
**ขอบคุณภาพจากทาง Japan Anime Movie Thailand ด้วยนะครับ**