เรื่องย่อ :
“Where there is light, shadows lurk and fear reigns… yet by the blade of Knights, mankind was given hope…”
เป็นภาคแรกที่คำพูดนี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในการเปิดเรื่อง หลังจากซีรีส์นี้ถูกสร้างต่อเนื่องเป็นลำดับที่ 3 ในส่วนของทีวีซีรีส์ ซึ่งกาโร่ภาค “อัศวินผู้เปล่งประกายในความมืด” (闇を照らす者) คือเรื่องราวที่กล่าวถึงตำนานของอัศวินเกราะสีทองนามว่า “กาโร่” ออกฉายเมื่อ 5 เมษายน 2013 – 20 กันยายน 2013 รวมความยาวทั้งสิ้น 25 ตอน โดยเนื้อเรื่องที่ปรากฏในภาคนี้จะอยู่ห่างจากภาค 4 หรือ “อัศวินแห่งบุปผา”(Maki No Hana : 魔戒ノ花) ราว ๆ 100+ ปีครับ
* อย่าเพิ่งงงนะครับว่าทำไมเนื้อหามันสลับไปมา เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังในตอนท้าย
เนื้อเรื่องจะกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมือง “โวลซิตี้” เมืองในฝันของใครหลาย ๆ คน เมืองที่ไร้ซึ่งอาชญากรรม ผู้คนมีชีวิตความเป็นอยู่ดีที สวัสดิการฟรีตลอดชีพ รวมไปถึงหน่วยรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งอย่าง “SG-1” (เอสจี-วัน) ซึ่งเมืองที่ว่านี้ตั้งอยู่ในดงของภูเขาไฟที่เคยประทุเมื่อหลายร้อยปีก่อน ทว่าวันหนึ่งเมืองในอุดมคติที่ว่าก็ถูกคุกคามโดยเฮอร์เรอร์สายพันธุ์ใหม่ที่ถูกเรียกว่า “มาโดฮอเรอร์”
นักบวชมาไคนามว่า “บูไร” จึงออกตามหาหนุ่มสาวทั้ง 4 คนมาเพื่อกำจัดเหล่าฮอเรอร์ให้สิ้นซาก โดยในทีมของนักบวชบูไรก็ประกอบไปด้วย “โดวไก ริวกะ” อัศวินกาโร่จอมแสบในยุคปัจจุบันผู้มีพลังพิเศษในการฟังเสียงที่แฝงอยู่ในวัตถุได้ “อากุริ คุสุงามิ” หนุ่มแว่นจอมซึนแห่งตระกูลคุสุงามิผู้มีชื่อเสียงในด้านการยิงธนูแม่นราวกับจับวาง “ทาเครุ จาคุซูเระ” เพลย์บอยจอมโวยวายที่วัน ๆ คิดแต่เรื่องสนุกสนาน และ “ริอัน” นักบวชมาไคสาวตำแหน่งเกียรตินิยมสุดโมเอะแห่งคันไต
นอกจากจะถูกรวมทีมมาเพื่อปกป้องเมืองโวลซิตี้แล้ว พวกเค้ายังต้องตามหาวิธีการคืนประกายสีทองให้แก่ชุดเกราะของกาโร่อีกด้วย เพราะในยุคที่พวกเค้าอยู่นั้น ชุดเกราะอัศวินกาโร่ในตำนานได้สูญเสียประกายสีทองบางส่วนไป การแก้ไขปริศนาที่เกิดขึ้นในเมืองแห่งความฝันนี้จึงได้เริ่มขึ้นพร้อม ๆ กับโศกนาฏกรรมที่พวกเค้าต้องพบเจอ
บทวิจารณ์ :
กาโร่ภาคนี้มีความเด่นในแง่ของการเล่นความรู้สึกของคนดูเป็นพิเศษครับ ซึ่งจะมีความแตกต่างจากภาคก่อน ๆ โดยสิ้นเชิง ถ้าให้ผมเทียบก็น่าจะไม่ต่างจาก “คาเมนไรเดอร์คูกะ” ที่เวลาเราเห็นผู้คนถูกกุรงกิฆ่าแล้วเห็นโกไดร้องไห้ เรารู้สึกสลดใจตามไปด้วย … เช่นเดียวกันกับเรื่องนี้ที่จะแสดงให้เห็นถึง “ความหวัง” ของมนุษย์แต่ละคนที่ถูกฮอเรอร์พรากไปพร้อม ๆ กับชีวิตที่ดับลงเพียงเพราะความกระหายในชีวิตมนุษย์ นั่นก็ทำให้เราอินไปกับบทของเหล่าตัวละครหลักที่อยากจะปกป้องมนุษย์ให้พ้นจากเงื้อมมือของพวกมันได้แล้ว
รวมไปถึงการหักมุมที่มีอยู่แทบทุก ๆ โค้งของซีรีส์ที่ทำให้เราคาดเดาไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ยอมรับเลยว่าดูไปบางตอนก็ต้องร้องเฮ้ยออกมาดัง ๆ เพราะบางอย่างที่เราคิดเอาไว้ มันมีประเด็นซ่อนอยู่จนต้องทำให้เราย้อนกลับไปดูว่าเราพลาดอะไรไปบ้างรึเปล่า นับว่าเป็นความสนุกที่หาไม่ได้ในซุปเปอร์เซนไทหรือคาเมนไรเดอร์เลยก็ว่าได้ครับ (ยกไกมุให้เรื่องนึง แต่ไกมุยังไม่แน่นเท่ากาโร่นะครับ กาโร่เนื้อหาหนักกว่าเยอะมาก ๆ อาจจะเป็นเพราะกลุ่มคนดูเป็นผู้ใหญ่นี่ล่ะ)
จุดเสียของภาคนี้เท่าที่สังเกตมีน้อยมาก ๆ ครับ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความสนุกของเรื่องลดน้อยลงไปแต่อย่างใด ปริศนาบางอย่างยังไม่ถูกเฉลย อาจจะเป็นเพราะว่าต้องการโยงไปที่ภาคอื่นต่อก็เป็นได้ นับว่าเป็นซีรีส์ที่พ้นช่วงกลางเรื่องมาแล้วพลาดไม่ได้แม้แต่ตอนเดียวจริง ๆ
สรุปภาพรวม :
คุณชอบหนังโทคุที่เน้นเนื้อหาเป็นหลักใช่หรือไม่? …. ใช่ครับ
คุณชอบหนังโทคุที่มีฉากแอคชั่นมันส์ ๆ และ CG เจ๋ง ๆ ใช่หรือไม่? … ใช่ครับ
คุณชอบหนังโทคุที่จัดเต็มในเรื่องของดีไซน์ และฉาก 18+ ใช่หรือไม่? … อืมมมม ก็ใช่ครับ
และ คุณอยากดูหนังโทคุที่ไม่ใช่หนังโทคุสำหรับผู้ชมที่เป็นเด็กใช่หรือไม่? … ใช่ครับ
ยิ่งในภาคนี้ยิ่งจัดเต็มในเรื่องของเนื้อหา บท และฉากแอคชั่นแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในกาโร่ 2 ภาคแรก ด้วยตัวละครที่มากขึ้น เนื้อหาที่แปลกแหวกแนวมากกว่าเดิม ปริศนาที่ต้องติดตามแบบไม่ควรพลาดแม้แต่ตอนเดียว รวมไปถึงพล็อตของเรื่องที่สอดคล้องกับภาคก่อน ๆ แบบไม่ออกทะเล “กาโร่ภาคอัศวินผู้เปล่งประกายในความมืด” คือตัวเลือกที่คุณต้องดูครับ