เชื่อว่าหลายคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม(20-30 ขวบ) ก็คงผ่านการดูช่อง 9 การ์ตูนทุกเช้าวันเสาร์-อาทิตย์กันอยู่แล้ว และถ้าพูดถึงสุดยอดการ์ตูนที่โด่งดังในช่วงต้นยุคมิลเลเนียมของช่อง ก็คงหนีไม่พ้นดิจิมอนแอดเวนเจอร์แน่นอน ด้วยการต่อสู้ของมอนสเตอร์สุดเท่ เรื่องราวมิตรภาพอันสวยงามระหว่างมนุษย์กับมอนสเตอร์คู่หู และเพลงประกอบที่ติดหู จึงทำให้ดิจิมอนประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในบ้านเรา แม้ว่าจะผ่านไปแล้ว 20 ปี ความนิยมในอนิเมะเรื่องนี้ก็ยังเหนียวแน่นไม่มีวันแผ่วปลาย ด้วยแรงรักจากแฟนๆ ทุกท่านที่ยังคงทะยานโลดไป
และเนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปี ของดิจิมอนแอดเวนเจอร์ จึงได้มีภาพยนตร์ส่งท้ายการผจญภัยของเหล่าเด็กที่ถูกเลือกในตอนนั้น ในชื่อภาค Last Evolution ซึ่งฉายที่ญี่ปุ่นไปเมื่อเดือนกุมภาที่ผ่านมา ส่วนบ้านเรา ตอนแรกก็จะฉายเดือนเมษายน แต่… ด้วยมาตรการล็อคดาวน์ จึงทำให้ต้องเลื่อนฉายมาเป็นกรกฎาคมเนี่ยแหละครับ
เนื้อหาภาพยนตร์เล่าถึงไทจิและยามาโตะที่มีอายุอานามปาเข้าไป 22 ขวบแล้ว ซึ่งก็เป็นวัยที่กำลังจะจบมหาวิทยาลัยและเข้าสู่ชีวิตผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว แต่นั่นก็หมายความว่า ดิจิมอนคู่หูของตัวเองก็จะต้องหายไปจากชีวิตของพวกเขา… และในขณะเดียวกัน ก็เกิดเหตุการณ์ปริศนาขึ้น เมื่อเด็กที่ถูกเลือกหลายคนหมดสติไป ด้วยฤทธิ์ของดิจิมอนปริศนา ทำให้พวกไทจิต้องลุกขึ้นสู้อีกครั้ง แม้ว่าจะเป็นการเร่งเวลาการลาจากกันก็ตาม…
หลังจากที่ผมดูภาพยนตร์เรื่องนี้ในรอบสื่อจบ ผมว่า… สำหรับคนที่อินกับดิจิมอน ติดตามเรื่องราวมาตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว บอกเลยว่าคุ้มค่าตั๋วแน่นอน เพราะตัวหนังเต็มไปด้วยการคารวะเรื่องราวก่อนหน้านั้นทั้งที่เป็นอนิเมะซีรีส์และตอนพิเศษ มันจะมีฉากและ Easter Egg ต่างๆ ที่ชวนให้ทุกคนหวนคิดถึงวันวาน แต่ผมไม่บอกนะว่ามีอะไรบ้าง อยากให้ไปเห็นเองในโรง จะได้ร้องว้าวได้สุดเสียงหน่อย
ธีมของเรื่องคือการจะต้องละทิ้งหรือสูญเสียอะไรซักอย่างเพื่อเติบโตขึ้นไปอีกก้าว มันมีทั้งความเจ็บปวดและความเศร้าอยู่ และยิ่งมันเกิดขึ้นกับคนที่ผูกพันกันมาแต่เด็กด้วยนะ มันยิ่งเจ็บขึ้นไปเป็นทวีคูณ อย่าว่าแต่เด็กๆ ที่ถูกเลือกเลย แม้แต่พวกเราที่ติดตามพวกเขามาโดยตลอดก็รู้สึกใจหายเหมือนกัน ลองคิดดูสิ อะไรก็ตามที่อยู่กับเรามา 20 ปี ซึ่งมันก็คือ 1/3 หรือ 1/4 ของชีวิตมนุษย์เลยนะ ถ้าวันนึงมันหายไปขึ้นมา คงเหมือนโลกแตกอ่ะ แม้ว่าในช่วงระหว่างทางของเรื่องจะยังไม่สามารถเค้นความรู้สึกนี้ออกมาได้มากพอสำหรับผมก็เถอะ แต่ พอใกล้ Climax บอกเลย ผมน้ำตาไหล… ดังนั้น อย่าลืมเตรียมทิชชูหรือผ้าเช็ดหน้าเข้าไปด้วยนะครับ
แม้ว่าตัวหนังจะโฟกัสไปที่คู่ของไทจิกับยามาโตะเป็นหลัก จนบทบาทของเด็กที่ถูกเลือกคนอื่นๆ บางคนถูกลดทอนลง ซึ่งอาจส่งผลให้แฟนๆ ที่อาจจะชอบเด็กที่ถูกเลือกคนอื่นๆ มากกว่ารู้สึกเสียดายไปบ้าง แต่ผมคิดว่าการให้บทเจาะแค่สองคนนี้ มันทำให้ง่ายต่อการเล่าเรื่องและการเค้นอารมณ์ของคนดู ด้วยระยะเวลาที่จำกัดมากกว่า… แต่อย่างน้อย ใครที่ผิดหวังกับการปรากฎตัวของไดสุเกะและเด็กๆ จากภาค 02 ใน Digimon Adventure Tri บอกเลยว่าเรื่องนี้ไม่ทำให้ผิดหวัง
ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ อย่างงานภาพ ในส่วนของฉากชีวิตประจำวัน โทนภาพจะออกแนวหม่นๆ อึมครึมเหมือนภาพยนตร์อนิเมะแนวดราม่าเลย ส่วนฉากที่ต้องต่อสู้ บอกเลยว่ายิ่งใหญ่อลังการดาวล้านดวงมากกกกกกก เมื่อบวกกับเฟรมภาพดีๆ และเพลงซาวน์แทร็คสุดอลังการ มันทำให้ภาพยนตร์ดู ส่วนบทก็มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน ที่ทำให้หนังสนุกดี อีกอย่าง งานพากย์ไทย เขาแคสติ้งนักพากย์แต่ละบทออกมาได้เหมือนต้นฉบับจริงๆ โดยเฉพาะบทดิจิมอน ที่ฟังแล้วอย่างกับเซย์ยูต้นฉบับมาเรียนภาษาไทยเลย ผมเคยฟังเนื้อเสียงของทีมพากย์ญี่ปุ่นมาแล้วตอนดูภาค Tri (ซึ่งก็ทีมเดียวกับที่พากย์เรื่องนี้แหละ) เนื้อเสียงใกล้เคียงกันจริงๆ
เอ้อ! ไหนๆ ก็พูดถึงงานพากย์แล้ว ขอเล่า Fact จากผู้กำกับงานพากย์ (พากย์ไทยนะ) ที่เขาอุตส่าห์กระซิบให้ฟังเพิ่มเติมดีกว่า….
– ในต้นฉบับ เวลาที่ดิจิมอนจากภาคแรกปล่อยพลังออกมา จะไม่มีการพูดชื่อท่านั้นๆ เลย มีเพียงแค่ “ฟู่ววววว..” “ฟิ้ววววว…” แค่นั้น แต่คุณผู้กำกับของเราได้ตัดสินใจให้นักพากย์ พูดชื่อท่าออกมาในฉากปล่อยพลัง เพื่อให้ได้อรรถรสเหมือนวันวาน อย่างเกรย์มอนเวลายิงเมก้าเฟรมก็พูดออกมาว่า “เมก้าเฟรมมมมม!!!”
– อามาดิมอน ดิจิมอนคู่หูของอิโอริ โดยปกติ ถ้าใครเคยรับชม Digimon Adventure 02 เสียงญี่ปุ่น จะทราบว่า แม้ว่าดิจิมอนตัวนี้จะพูดอะไรก็ตาม มักจะลงท้ายด้วยคำว่า “เกี๊ยะ” เสมอ ซึ่งคำนี้มันก็ไม่มีความหมายอะไรหรอก ด้วยเหตุนี้ ทำให้พากย์ไทย ณ ตอนนั้น จึงไม่มีการใส่คำว่า “เกี๊ยะ” ลงไปในบทพูดของอามาดิมอนเลย จนกระทั่งคุณผู้กำกับคนดีคนเดิมของเราเห็นว่ากิมมิคนี้มันดูน่ารักดี คนดูน่าจะชอบ จึงตัดสินใจใส่คำนี้เข้าไปในบทพูดเหมือนต้นฉบับเลยเกี๊ยะ (และมันก็ดูน่ารักดีจริงๆ…)
– ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์อนิเมะสัญชาติญี่ปุ่น ที่ใช้นักพากย์มาให้เสียงภาษาไทยมากที่สุด โดยมีจำนวนทั้งหมดทั้งสิ้น 29 คน!! ซึ่งประกอบไปด้วยนักพากย์มืออาชีพ เช่น คุณหนึ่ง ภัทรวุฒิ, คุณจูน อิทธิพล, คุณหุย นลินี นักพากย์รับเชิญอย่าง MindaRyn ไปจนถึงเหล่านักเรียนพากย์จากโครงการ Cartoon Club Academy อีกด้วยนะ
สรุปเลยละกัน หนังปิดตำนานดิจิมอนแอดเวนเจอร์ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ความรู้สึกที่หมักบ่มมาตลอด 20 ปีมันแสดงรสชาติออกมาได้น่าประทับใจมาก เพราะคนดูกับเด็กที่ถูกเลือกก็เติบโตมาพร้อมๆ กัน นอกจากความผูกพันอันยาวนานแล้ว ความรู้สึกถึงสิ่งต่างๆ ที่ต้องพบเจอเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ มันก็มีส่วนที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใจความรู้สึกข้างในของตัวละครด้วย ในฐานะที่ผมก็โตมากับดิจิมอน ดูมาตั้งแต่เด็ก ชอบเรื่องนี้มาก ผมให้ 9/10 เลยครับ และก็ขอขอบคุณไทจิ อากูมอน และตัวละครทุกคนที่มาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผม และก็ของวัยรุ่นตอนปลายหลายๆ คน ที่ขาดไม่ได้เลย ขอบคุณทาง Cartoon Club ที่นำภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในบ้านเรา พร้อมกับเชิญทางเราไปชมภาพยนตร์รอบสื่อด้วย เอาจริงๆ ผมคิดอยู่นะว่า ถ้าถึงวันฉายจริงเมื่อไหร่ ผมอาจจะไปดูซ้ำอีกสักรอบก็ได้นะ
ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเริ่มฉายอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 กรกฎาคมนี้นะครับ รอติดตามรายชื่อโรงภาพยนตร์ที่มีเรื่องนี้เข้าฉายได้ทางแฟนเพจของ Cartoon Club ได้เลยครับ