Kamen Rider Build
(仮面ライダービルド)
ประเภท : โทคุซัทสึ, ไซไฟ, ทริลเลอร์
ต้นฉบับ : อิชิโนะโมริ โชทาโร่
เขียนบท : โชโก มุโตะ
กำกับการแสดง : ริวตะ ทาซากิ (หลัก), คาสึยะ คามิโฮริอุจิ, ซาโตะชิ โมราตะ, โชจิโร่ นาคาซาว่า, เคียวเฮย์ ยามากุจิ และ ทาคายูกิ ชิบาซากิ
นำแสดงโดย : อัทสึฮิโระ อินุไค, เอย์จิ อาคาโสะ, คาโฮ ทาคาดะ, เคียวเฮย์ ทาเคดะ, ยูกิ โอจิ, ยูคาริ ทากิ, เคนเซย์ มิคามิ และ ยาสุยูกิ มาเอคาว่า
เพลงเปิด : Be The One โดย PANDORA feat. Beverly
โปรดิวซ์ : โมโตอิ ซาซากิ, จิฮิโระ อิโนะอุเอะ, อายูมิ คันโนะ, ทาคาฮิโตะ โอโมริ และ โทชินาริ ยานากะ
ความยาว : 49 ตอน
ออกอากาศ : 3 กันยายน 2017 – 26 สิงหาคม 2018
Official Site : http://www.tv-asahi.co.jp/build
เรื่องย่อ :
10 ปีก่อน มนุษย์ได้ส่งนักบินอวกาศขึ้นไปสำรวจบนดาวอังคาร แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็คือ “กล่องแพนโดร่า” ที่เป็นสาเหตุให้ญี่ปุ่นถูกแบ่งออกด้วยสกายวอลล์เป็นสามเขต ได้แก่ โทวโตะ เซย์โตะ และโฮคุโตะ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน “คิริว เซนโตะ” นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะผู้สูญเสียความทรงจำ ได้เข้าไปเป็นหนึ่งในทีมวิจัยกล่องแพนโดร่าดังกล่าว และนั่นคือเรื่องราวของการตามหาตัวตนในอดีต ความลับขององค์กรเฟาส์ รวมไปถึงความเชื่อมโยงของนักโทษหนีคดี “บันโจ ริวกะ” ซึ่งจากการช่วยเหลือของสองพ่อลูกอิสุรุกิ โซอิจิ และมิโซระ ทำให้เซนโตะสามารถต่อสู้ในฐานะคาเมนไรเดอร์ ฮีโร่ผู้พิทักษ์เมืองแห่งนี้ได้
กล่องแพนโดร่าคืออะไร เซนโตะเป็นใครมาจากไหน และริวกะจะลบล้างความผิดของตนได้หรือไม่ นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคาเมนไรเดอร์บิลด์!!!
รีวิว :
หลังจากคาเมนไรเดอร์เอ็กเซดจบลงไป คำถามถัดมาก็คือเรื่องที่จะฉายต่อไปนั้นจะทำได้สนุกเท่ากับเอ็กเซดหรือเปล่า?
ด้วยความสำเร็จทั้งทางด้านเนื้อหา ความนิยม รวมไปถึงยอดขายที่เกินความคาดหมาย ทำให้โตเอและทีวีอาซาฮี ตัดสินใจใช้ทีมงานชุดเก่าเกือบทั้งหมดเข้ามาดูแลการสร้างซีรีส์ใหม่อย่าง “คาเมนไรเดอร์บิลด์” โดยใช้ผู้เขียนบทคนใหม่ก็คือ อ.โชโก มุโตะ ที่เคยฝากผลงานเอาไว้กับไลฟ์แอคชั่นชื่อดังหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นก็คือ Crow (เรียกข้าว่าอีกา) ฉบับคนแสดงทั้งสองภาค
ซึ่งทีมงานทุกคนก็ไม่ทำให้คนดูผิดหวังครับ คาเมนไรเดอร์บิลด์มีการดำเนินเรื่องไปตามสเกลจากเล็กไปใหญ่แบบน่าสนใจ เปิดหัวด้วยปริศนาดำมืดที่ยากเกินจะคาดเดา หรือถ้าคิดว่าเดาถูก มันก็จะเป็น Plot Twist ไปอีกต่อ ซึ่งจากจุดนี้เองก็ทำให้ผู้ชมกล่าวถึงกันอย่างกว้างขวางในโลกโซเชี่ยล
ธีมของเรื่องที่เหมือนจะยกมาเพื่อทำความเคารพต่อปรมาจารย์ผู้ให้กำเนิดอย่าง อ.อิชิโนะโมริ โชทาโร่ กับองค์กรวิทยาศาสตร์ผู้ชั่วร้าย และเหล่ามนุษย์ทดลองที่ดูคล้ายกับ Kamen Rider ในซีรีส์แรก และองค์ประกอบของการดำเนินเรื่องที่ใช้ “เนื้อหา” เป็นตัวดำเนินเรื่องมากกว่าที่จะใช้ “ตัวละคร” แบบที่คาเมนไรเดอร์เอ็กเซดเคยทำ แม้ตัวละครทุกตัวในเรื่องจะไม่ได้มีความโดดเด่นและมีคาแรคเตอร์ที่สุดไปในด้านใดด้านหนึ่ง แต่เพราะ “บท” ของแต่ละคนเมื่อนำมาประกอบกันแล้วก็ทำให้เนื้อหาสมบูรณ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
พูดกับถึงคาแรคเตอร์ตัวละครกันซักนิดนึง ผมชอบการดำเนินเรื่องที่อาศัยบทเป็นตัวนำแบบนี้นี่ล่ะครับ เพราะที่ผ่าน ๆ มาตัวละครที่ไม่ใช่ตัวหลักมักจะมีบทจืดจาง หรือโดนรัศมีของตัวละครอื่นกลบจนหายไปหมด แต่ทว่าคาเมนไรเดอร์บิลด์กลับมอบหน้าที่ให้กับตัวละครทุกตัว ซึ่งพวกเค้าก็ทำหน้าที่นั้นได้เป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้ทำให้เรื่องราวเดินไปข้างหน้าแบบไม่มีสะดุดเลย ขนาดตัวละครบางตัวเรามองว่ามันไม่น่าจะมีดีเทลอะไร แต่ทีมงานก็จัดใส่มาซะจนกลายเป็นตัวละครที่ขาดไปไม่ได้ หรือเป็นตัวละครในการแก้ปริศนาสำคัญจนเราคาดไม่ถึง เรียกได้ว่าใช้ตัวละครทุกตัวได้คุ้มค่าครับ
ในโลกโซเชี่ยลจะกล่าวถึง Plot Twist ที่เกิดขึ้นในเรื่องว่าเป็น “สิ่งที่คาดเดาไม่ได้” ซึ่งนั่นเป็นเสน่ห์ขั้นสุดของการชมซีรีส์แนวทริลเลอร์ทั้งหมด ไม่คิดมาก่อนเลยครับว่าคาเมนไรเดอร์ซีรีส์เองก็สามารถเอาสิ่งนี้ใส่ลงไปในเนื้อหาได้แบบน่าติดตาม เช่นบางจุดเราเดาว่ามันจะต้องออกมาเป็น A แต่พอเอาเข้าจริงมันออกมาเป็น A ที่ซ่อน B ไว้ภายใน หรือบางครั้งมันออกไปที่หน้า C จนทำให้คนดูต้องอุทานว่า … เชี่ยอะไรเนี่ย? ขึ้นมาได้หลายหน ยิ่งรวมกับบทของตัวละครที่ช่วยเสริมให้หนักขึ้นไปอีกด้วยแล้ว มาตรฐานของซีรีส์ก็ถูกยกระดับให้สูงขึ้นไปอีก
ส่วนรายละเอียดอื่นทั้งงานภาพ มุมกล้อง การถ่ายทอดนัยยะต่าง ๆ ก็ทำได้ดีไม่ต่างจากซีรีส์ก่อนหน้าครับ (แหงล่ะ ทีมงานเดิมนี่) จุดเด่นในเรื่องการถ่ายทอดเชิงสัญลักษณ์สำหรับทีมงานชุดนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็น Signature ของพวกเค้าไปแล้ว หลายฉากที่ผู้ชมมองแล้วต้องไปตีความต่ออีกหลายตลบ หรือบางฉากดูแล้วก็สะท้อนอะไรบางอย่างให้กับคนดูแบบที่เราไม่รู้ตัว
มาพูดถึงข้อเสียกันบ้าง เข้าใจว่าการดำเนินเรื่องให้ไหลลื่นไปจนตอนจบนั้นทำได้ยากมาก ยิ่งมีการเฉลยปมปริศนาเข้ามาเกี่ยวข้องก็ยิ่งยากเข้าไปอีก เพราะต้องตัดสินใจให้ถูกว่าควรจะเล่าความจริงทั้งหมดตอนไหนและอย่างไร คาเมนไรเดอร์บิลด์เองก็มีการใส่รายละเอียดเอาไว้ทุกระยะครับ และเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ปมทั้งหมดถูกคลายออก เรื่องราวก็หยุดนิ่งไปโดยปริยาย (เข้าใจว่าช่วงตอนที่ 30 กว่า ๆ เป็นต้นไป) เพราะช่วงนั้นก็เริ่มมีการเอาตัวละครมาเล่นเฮฮาด้วยมุกสามบาทห้าบาทกัน แม้จะขำแต่ก็รู้สึกอึดอัดกับเนื้อเรื่องที่ก้าวไปแบบช้า ๆ จนบางคนหยุดดูไประยะหนึ่งก็มี ทว่ามันก็ไม่ใช่ข้อเสียที่ใหญ่หลวงอะไรนัก เพราะในขณะที่ตัวละครออกมาดึงเรื่องให้ช้าลงนั้น บางประเด็นก็เฉลยออกมาโดยที่เราไม่รู้ตัวก็มี … อึ้งสุดก็ไอ้ความลับของ Best Match นั่นแหล่ะ
และสิ่งที่ทำให้ผมอึดอัดที่สุดคงหนีไม่พ้นบอสใหญ่ของเรื่อง “อีโวลท์” ที่เล่นเองชงเองตั้งแต่ต้น และดำเนินการตามแผนเองทุกอย่างจนเรารู้สึกได้ว่าไอ้หมอนี่มันน่ากลัวจริง ๆ ยิ่งมีสเกลพลังระดับย่อยสลายจักรวาลด้วยปลายนิ้วเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ยิ่งทำให้ความน่าเกรงขามของมันเพิ่มขึ้นไปอีก หากถามว่ามันเก่งแค่ไหน … เอาแค่ว่าต่อให้มีสิบร่างสุดยอดของพระเอกออกมารุมมัน ผมก็ว่าไม่น่าจะหาทางเอาชนะได้ง่าย ๆ เลย
ทั้งฉลาดเป็นกรด ไร้ซึ่งความกลัว และมีพลังระดับเทพเจ้า ขอยกให้เป็นสุดยอดบอสของจักรวาลไรเดอร์ทั้งปวงไปเลยครับ
สรุป :
นับตั้งแต่ขึ้นเฟสสองเป็นต้นมา การจะหาคาเมนไรเดอร์ซีรีส์ที่ดำเนินเรื่องแบบ Non Stop และมีการกระจายบทให้กับตัวละครทุกตัวอย่างคุ้มค่านั้นหาได้ยากมากครับ เพราะถ้าไม่มีการทำเป็นสองตอนหนึ่งมอนสเตอร์ ก็จะเป็นการออกทะเลไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีจุดหมายไปเลย ทว่าคาเมนไรเดอร์บิลด์สามารถ “คงมาตรฐาน” ของทีมสร้างที่เคยฝากเอาไว้ในคาเมนไรเดอร์เอ็กเซดได้อย่างสมบูรณ์และไม่จำเจ ทั้งการออกแบบตัวไรเดอร์ที่ดูเท่และตรงคอนเซปท์ ความหนักแน่นของคาแรคเตอร์แต่ละตัวที่เอื้อประโยชน์ต่อกันแบบสมเหตุสมผล การสร้างอารมณ์ร่วมต่อคนดูจนต้องลุ้นแบบตอนต่อตอน แม้จะเปิดเรื่องมามึน ๆ เล็กน้อย และก่อนจบเรื่องก็ถูกดึงให้ช้าลงจนน่าเบื่อ แต่ก็ไม่ทำให้เสียอรรถรสโดยรวมไปแม้แต่น้อย
เป็นซีรีส์ที่ขอแนะนำให้ดูโดยไม่มีการลังเลใด ๆ ทั้งสิ้นครับ