J-HERO REVIEW : Kamen Rider Build The Movie – Be The One

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางบริษัท ดรีม เอ็กซ์เพรส จำกัด หรือ DEX ได้จัดงานฉายภาพยนตร์ขึ้นที่โรงภาพยนตร์สกาล่า สยามสแควร์ โดยได้จัดฉายภาพยนตร์โปรแกรมพิเศษถึงสองเรื่องด้วยกัน นั่นก็คือ Kamen Rider Build The Movie – Be The One ซึ่งเป็นภาพยนตร์ฤดูร้อนของมาสค์ไรเดอร์บิลด์ที่ได้จัดฉายไปเมื่อปีที่แล้ว กับอีกเรื่องหนึ่งก็คือ Love Live! Sunshine!! The School Idol Movie – Over The Rainbow ซึ่งเป็นภาพยนตร์ตอนพิเศษของเหล่าสคูลไอดอลที่มีชื่อว่า Aqours ที่ต่อเนื่องจากซีรีส์ที่ฉายไปก่อนหน้านั้นถึงสองซีซั่นด้วยกัน และภาพยนตร์สองเรื่องนี้ขายบัตรแยกกันครับ แล้วเราก็จะข้าม Love Live! Sunshine!! ไปนะครับ เพราะผมไม่ได้ดู (หัวเราะ)

สื่อประชาสัมพันธ์งานฉายภาพยนตร์ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งในส่วนของ Kamen Rider Build The Movie – Be The One นั้นได้ฉายควบถึงสองรอบด้วยกัน โดยรอบแรกจะฉายในรูปแบบบรรยายไทย และรอบที่สองจะฉายในรูปแบบพากย์ไทย
โรงภาพยนตร์สกาล่า ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์

ผมไปถึงโรงภาพยนตร์สกาล่าในช่วงแปดโมงเช้า ซึ่งน่าจะเป็นคนแรกๆที่มาถึงที่นี่เลยก็ว่าได้ ผมมองดูเหล่าผู้คนที่มารับชมภาพยนตร์ในวันนี้ พบว่า นอกเหนือจากแฟนๆไรเดอร์ขาประจำที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่เสมอแล้ว ยังมีพ่อแม่ผู้ปกครองที่พาบุตรหลานมารับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ซึ่งเป็นภาพที่น่ารักดีนะ ผมไม่คิดว่า ในยุคที่เราสามารถรับชมภาพยนตร์และความบันเทิงทั้งถูกลิขสิทธิ์และละเมิดลิขสิทธิ์ได้สะดวกมากขึ้นเพียงแค่กดรีโมทโทรทัศน์หรือคลิ๊กเมาส์ จะยังมีบางครอบครัวที่พาบุตรหลานมารับชมภาพยนตร์รอบพิเศษเช่นนี้อีก และภาพยนตร์ก็ฉายตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยนะ แต่แฟนๆไรเดอร์ก็ให้การตอบรับที่ดี จนสามารถขายบัตรได้ถึง 50% ของทั้งโรงภาพยนตร์(เท่าที่ผมดูผังบนโต๊ะรับบัตรอ่านะ)

มาสค์ไรเดอร์บิลด์ต้องหนีจากการปองร้ายของเหล่าประชาชนอย่างหัวซุกหัวซุน

เรื่องย่อ :

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้จะอยู่ระหว่างทีวีซีรีส์ตอนที่ 45 และ ตอนที่ 46 ซึ่งทั้งสามเมืองได้ประกาศแต่งตั้งผู้นำคนใหม่ของแต่ละเขต ซึ่งภูมิภาคโทโตะนั้น ก็ได้ เคนโก อิโนะ ขึ้นมาเป็นผู้นำ ซึ่งเขาก็ได้กล่าวปราศรัยต่อหน้าประชาชนว่า มาสค์ไรเดอร์นั้นเป็นต้นเหตุของสงครามและความวุ่นวายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และเป็นภัยอันตรายที่ต้องถูกกำจัด จึงทำให้มาสค์ไรเดอร์บิลด์ถูกมวลมหาประชาชนทั้งเมืองไล่ล่าอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยทั้งหมดนี้เป็นหนึ่งในแผนการทำลายโลกของอิโนะนี่เอง….

ไล่ล่ากันถึงบนสะพานเลยทีเดียว…

รีวิวจากแอดแผน :

พล็อตเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงดีเคดเลยนะ เพราะก่อนที่สึคาสะจะมากินนอนในฮิคาริสตูดิโอนั้น สึคาสะก็ความจำเสื่อมเหมือนกัน แถมเสื่อมไม่พอนะ ยังมาอยู่ในมิติที่ไม่ใช่มิติของตัวเองอีก มันก็เหมือนกับเรื่องราวของเซ็นโตะเลย แต่ต่างกันตรงที่ช่วงเวลาและระยะเวลาการนำเสนอ “ความไม่เป็นที่ต้องการของสังคม” ของตัวละคร อย่างของสึคาสะจะถูกถ่ายทอดให้เป็นคนที่ไม่มีใครต้องการตั้งแต่ตอนที่ 1 ของเรื่อง ไปจนถึงมูฟวี่ไทเซ็นเลยทีเดียว(และตัวเรื่องก็ย้ำตรงนี้บ่อยมากนะ ตั้งแต่การใช้ซิมโบลิคเล็กๆอย่างการถ่ายรูปผิดเพี้ยนเมื่ออยู่ในโลกแต่ละมิติที่ไม่ใช่มิติของตัวเอง ไปจนถึงการถูกตราหน้าจากบางตัวละครว่า แกคือผู้ทำลาย ตัวหายนะ แกต้องถูกกำจัด ซึ่งจริงๆแล้วดีเคดก่อนที่จะความจำเสื่อมมันก็คือผู้ทำลายจริงๆแหละนะ) แต่เรื่องราวความไม่เป็นที่ต้องการในสังคมของเซ็นโตะจะเกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้เนี่ยแหละ ตอนที่ดูตัวอย่าง ผมก็คิดนะ ว่าทำไมประชาชนถึงโดนเป่าหูง่ายจังวะ? แค่ตัวร้ายที่กลายมาเป็นผู้นำขึ้นกล่าวปราศรัยว่า มาสค์ไรเดอร์เป็นตัวอันตราย ต้องกำจัด แค่นั้นแหละ ทุกคนก็พร้อมใจกันกรูเข้าไปกระทืบบิลด์แล้ว… แต่พอมาดูหนังจริงๆ ผมก็พอเข้าใจได้

แม้เซ็นโตะจะถูกไล่ล่าสักเพียงไหน แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ทำร้ายประชาชน

แต่ด้วยความที่เซ็นโตะเป็นฮีโร่ เขาย่อมไม่ทำร้ายผู้คนอยู่แล้ว ตัวหนังได้ย้ำ Message เรื่องให้เห็นชัดๆว่า ต่อให้เซ็นโตะจะเป็นตัวละครสมมติที่(เคย)โดนอีโวลท์ให้เล่นไปตามบทที่เขาวางไว้ ต่อให้เขาไม่เป็นที่ต้องการของผู้คนบนโลก หรือต่อให้มีแต่คนที่ต้องการให้เขาตายไปเสีย แต่เขาก็ยังเชื่อมั่นในการต่อสู้เพื่อพิทักษ์ความรักและสันติสุข และจะทำอย่างนั้นต่อไป แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับการยกย่องในฐานะวีรบุรุษก็ตาม แต่การที่ได้เห็นโลกที่เขาอยู่เต็มไปด้วยความรักและสันติสุข ก็ถือว่าได้รับการยกย่องแล้ว

ไฮไลท์หลักของเรื่องก็คงหนีไม่พ้นตรงนี้จริงๆ….

ในหนังก็จะได้เห็นฉากการหนีตายของบิลด์จากมวลมหาประชาชนที่มีทั้งซีเรียสและแอบปนฮาบ้าง มันทำให้เรื่องนี้สนุกมากเลยนะ แต่ด้วยความที่หนังมันสั้นแค่ ชม.เดียว มันเลยทำให้หนังไม่ได้ซับซ้อนหักมุมอะไรมาก อย่างน้อยมันก็ดูเพลินดี ได้ฟีลเหมือนเป็นซีรีส์หนึ่งเลยก็ว่าได้

ฉากการไล่ล่าที่อลังการงานสร้างสุดๆ

ในส่วนของกระบวนการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มีส่วนที่ทั้งดีและพอถูไถไปได้ เช่น ความอลังการงานสร้างของกองถ่าย ที่เล่นปิดทั้งเมืองและขนนักแสดงเอ็กซ์ตร้ากว่าร้อยชีวิตเพื่อถ่ายทำฉากไล่ล่าอันดุเดือด(?)ของภาพยนตร์ อีกทั้งยังมีการใช้โดรนในการถ่ายทำหลายๆฉาก ซึ่งฉาก Bird Eye View ยอมรับว่าทำได้สวยมาก แต่ก็มีบางฉากที่เป็นฉากไล่ล่าจากมุมมองระนาบเดียวกับพื้น ที่ต้องใช้โดรนช่วยในการถ่ายทำ(เพราะข้อจำกัดทางด้านพื้นที่) ยังดูไม่ค่อยสมูทเท่าไหร่

บิลด์พยายามช่วยบันโจว ริวงะ จากการถูกสะกดจิตโดยเคนโก อิโนะ

และด้วยการฉายภาพยนตร์ควบถึงสองรอบ ซึ่งก็ควบจริงๆ เรียกได้ว่ารอบแรกเครดิตจบปุ๊บ ขึ้นรอบสองทันที(พักเข้าห้องน้ำสัก 5 นาทีก่อนก็ได้…) แต่ว่าพอรอบบรรยายไทยได้จบลง ผู้คนส่วนมากก็เริ่มพากันออกจากโรงภาพยนตร์แล้ว แต่ผมยังอยู่ชมรอบพากย์ไทยอยู่(เพราะรอบแรกแอบหลับไปนิดหน่อย เลยจะเก็บตกรายละเอียดที่หายไปขณะเผลอหลับด้วย) ซึ่งการพากย์ไทยของคุณจูน อิทธิพล มามีเกตุ ซึ่งรับหน้าที่พากย์เสียงในบทของ คิริว เซ็นโตะ ได้ทำออกมาได้ดีมาก ถือว่าเรียกเสียงฮาในฉากฮาได้มากโขเลยทีเดียว และในขณะเดียวกันกับฉากที่ต้องใช้ความเข้มข้นของอารมณ์ เขาก็ถ่ายทอดออกมาได้ดีเช่นกัน และที่เซอร์ไพรส์ที่สุด คือการเปิดตัวผู้ให้เสียงภาษาไทยของมาสค์ไรเดอร์จิโอ หรือ โทคิวะ โซโกะ เป็นครั้งแรกด้วย ซึ่งก็ได้คุณปิง พัฒนเตชินท์ ศศิพัฒนธาดา มาให้เสียงภาษาไทยในบทนี้ ซึ่งผมว่าเสียงของคุณปิงตอนมาพากย์บทนี้ มีเนื้อเสียงที่ใกล้เคียงกับคุณโอคุโนะ โซ นักแสดงจริงเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

สรุปภาพรวมพร้อมให้คะแนน :

ถ้าชอบดูภาพยนตร์โทคุที่เนื้อหาเข้มข้น บทที่มีรายละเอียดเยอะ : ไม่แนะนำครับ
ถ้าชอบดูภาพยนตร์โทคุที่มีเนื้อหาเบาสมอง แต่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นธรรมชาติ : แนะนำเลย
ถ้าชอบดูภาพยนตร์พากย์ไทย : แนะนำให้ต้องดู
แอดแผนให้คะแนน : 8/10

มาสค์ไรเดอร์จิโอ ที่ปรากฎตัวตอนท้ายเรื่อง

สำหรับใครที่พลาดชมภาพยนตร์เรื่องนี้ สามารถรอติดตามช่องทางในการฉายอย่างถูกลิขสิทธิ์กับทาง Dex ได้เลยนะครับ และในวันที่ 4 เมษายนนี้ ภาพยนตร์ Heisei Generation Forever ก็จะฉายในประเทศไทยแล้วด้วย ซึ่งเป็นการฉายในโปรแกรมปกติเลย ผมก็ไม่อยากให้ทุกคนพลาดเรื่องนี้กันนะครับ โดยส่วนตัวแล้วผมชอบมากเลยนะครับ บินไปชมที่ประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว และแน่นอนว่าจะเข้าไปชมในประเทศไทยอีกแน่นอนครับ

About Pan Yoshizumi 118 Articles
นอกจากซูเปอร์ฮีโร่จะเป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบแล้ว ผมยังชอบไอดอลสาว และการท่องโลกอีกต่างหาก....