ถ้าพูดถึงภาพยนตร์แอนิเมชั่นญี่ปุ่นที่โด่งดังในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ผลงานแนวไซเบอร์พังค์จากวิสัยทัศน์ของ “คัตสึฮิโระ โอโทโมะ” เรื่องนี้ ก็น่าจะเป็นอีกเรื่องที่หลายๆ คนพูดถึง แถมหยิบกลับมาดูอีกครั้งก็ไม่รู้สึกว่าตกยุคเลย ภาพยนตร์ว่าด้วยเรื่องราวของประเทศญี่ปุ่นที่เกิดระเบิดปริศนาขนาดใหญ่ขึ้นในปี 1988 (ซึ่งก็คือปีที่ฉาย ณ ตอนนั้น) จนทำให้สภาพสังคมของประเทศนี้เปลี่ยนไปตลอดกาล ผ่านมาจนถึงปี 2019 แม้พี่ยุ่นจะมีเมืองใหม่ที่ชื่อว่า “นีโอโตเกียว” เพื่อทดแทนเมืองเก่าที่เสียหาย แต่วิถีชีวิตของผู้คนก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย ความเหลื่อมล้ำทางสังคมยังคงเข้มข้น ผู้คนต่างออกมาชุมนุมเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แน่นอนครับว่าพวกเขาโดนสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงเสมอ
ตัดภาพมาที่เด็กแว๊นซ์กลุ่มหนึ่ง ซึ่งมี “คาเนดะ โชทาโร่” เป็นหัวหน้าแก๊ง อยู่มาวันหนึ่ง คาเนดะและชาวแก๊งก็ขี่มอเตอร์ไซค์รับลม ออกปะทะกับแก๊งอริตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือ “ชิมะ เท็ตสึโอะ” เพื่อนของคาเนดะ ได้ประสบอุบัติเหตุขึ้นบนท้องถนน ก่อนจะถูกกลุ่มทหารลับพาตัวไป จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้เท็ตสึโอะมีพลังวิเศษที่แสนน่ากลัว จนทำให้เกิดเรื่องเกิดราวในภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมา
ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้ามาฉายในประเทศไทยอีกครั้งในปี 1990 โดยบริษัท นนทนันท์ เอนเตอร์เทนเมนท์ ซึ่งก็คือ 6 ปี ก่อนที่ผู้เขียนจะลืมตาดูโลกเสียอีก… จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเริ่มได้ยินกิตติศัพท์เกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ที่รู้ๆ ก็มีฉากที่คาเนดะหักลำมอเตอร์ไซค์ในแนวขวางเพื่อเบรค ที่เป็นภาพจำของภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมดูเรื่องนี้ครั้งแรกจากดีวีดีที่ซื้อมาจากร้านลิโด้ดีวีดี สิ่งที่ทัชผมเป็นอย่างแรกเลยก็คือ การตีแผ่ปัญหาสังคมหลายๆ ด้าน ให้มาอยู่ในเรื่องๆ เดียว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากภัยสงคราม การทดลองค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ที่ไร้ซึ่งหลักมนุษยธรรม รีแอ็คชั่นของมนุษย์ต่อสิ่งที่เหนือการควบคุม ความล้มเหลวในการปกครองของรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพ อันนำไปสู่ปัญหาสังคมทุกย่อมหญ้า โดยเฉพาะชนชั้นรากหญ้า ซึ่งถ้าไม่สุดทนจนต้องลุกฮือต่อต้านเพื่อปลดแอกตัวเองจากความเฮงซวยของสังคม ก็คงปลงกับชีวิต และสำมะเลเทเมาเพื่อความสนุก รอวันแก่ตายไปดีกว่า นอกเหนือจากปัญหาระดับใหญ่แบบนี้แล้ว ยังมีปัญหาเล็กๆ เฉพาะตัวบุคคล อย่างเรื่องของสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์พบเจอในวัยเด็ก ซึ่งหล่อหลอมเข้าไปในตัวเขา จนส่งผลต่อทัศนคติของตัวเองเมื่อโตขึ้น ไปจนถึงการจัดการกับกับสิ่งที่เรียกว่า “พลังอำนาจ” เมื่ออยู่ในมือ อย่างที่เราได้เห็นจากตัวละครเท็ตซึโอนั่นเอง
เมื่อเนื้อหาสุดเข้มข้นมารวมกับเทคนิคการสร้างขั้นเทพ ทั้งงานภาพที่ลงรายละเอียดของแสงสี และการเคลื่อนไหวของมุมกล้องได้ละเอียดและเนี้ยบสุดๆ ด้วยเทคโนโลยีที่สามารถทำได้ในยุคนั้น ไปจนถึงเพลงประกอบที่สามารถขับอารมณ์ของเนื้อหาออกมาได้อย่างเต็มเปี่ยม ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดนี้ ทำให้ผมมีความรู้สึกหลังดูจบจากแผ่นดีวีดีว่า “ภาพยนตร์น่าจะฉายแสงได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่านี้ ถ้าได้รับชมในโรงภาพยนตร์”
แต่เสียดาย เกิดช้าไปหลายขุม เลยอดสัมผัสความสนุกอย่างเต็มเปี่ยมของ AKIRA ไปเลย…
ตอนแรกผมก็คิดอย่างนั้นแหละ จนกระทั่ง บริษัท ดรีม เอ็กซ์เพรส เอาเรื่องนี้มาฉายในโรงภาพยนตร์อีกครั้ง AKIRA เรื่องเดิม เพิ่มเติมคือ เป็นตัวหนังฉบับสมบูรณ์ไม่มีตัดฉากออก ซึ่งตอนปี 1990 เขาตัดฉากออกบางส่วนเพื่อให้เหมาะกับการจัดรอบฉายด้วยนะ จนส่งผลให้ผู้ชมบางส่วนงงหลังดูจบนั่นเอง และก็ได้มีการรีมาสเตอร์ตัวภาพยนตร์เป็นระบบ 4K ซึ่งจะทำให้เราได้เห็นดีเทลของงานภาพอย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น จนคุณต้องทึ่งว่า อนิเมะยุค 80 สามารถทำงานภาพได้โหดขนาดนี้เลยเหรอ? เมื่อบวกกับระบบเสียงสุดโหดในโรงภาพยนตร์แล้ว…
ในที่สุด ก็ได้สัมผัสความสนุกของ AKIRA อย่างเต็มเปี่ยมซักทีเนอะ
หลังจากเดินออกจากโรงภาพยนตร์ตอนฉายรอบสื่อ นั่งรถไฟฟ้ากลับหอมาพิมพ์บทความนี้อยู่ ผมยังรู้สึกว่าอะดรีนาลีนกำลังซาบซ่านในร่างกายอยู่เลย
พิมพ์มาถึงตรงนี้แล้ว ก็อยากจะบอกว่า นี่เป็นภาพยนตร์อนิเมะญี่ปุ่นที่ควรดูสักครั้งในชีวิต และการรับชมเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ จะทำให้ได้อรรถรสมากถึงมากที่สุด(ผมแนะนำให้ดูแบบ IMAX ไปเลย ถ้าเงินถึง) เหล่าหนุ่มสาวที่เกิดไม่ทัน อยากให้ลองตีตั๋วดูสักรอบ ส่วนผู้ใหญ่ที่เคยดูเมื่อ 30 ปีที่แล้ว กลับมาดูอีกครั้งอาจจะรู้สึกต่างออกไปจากครั้งนั้นก็ได้นะครับ โดยภาพยนตร์จะเข้าฉายในวันที่ 2 กรกฎาคมนี้ สามารถเช็คโรงภาพยนตร์ที่ฉายได้ตามข้างล่างนี้เลย