A Trip to Japan with Reviewman ตอนที่ 3 วันสุดท้ายที่อิเคะบุคุโระ

(ทำไมชื่อตอนสุดท้ายมันสั้นจังวะ?)

วันที่ 4 ของทริป (วันสุดท้ายแล้ว)

ถ้าจำไม่ผิด เหมือนจะตื่น และออกกันตรงเวลานะ

และเช่นเดิม มื้อเช้า ก็มาลงที่เซเว่นสาขาเดิม….

แต่คราวนี้ไม่รู้ว่าพี่ปลายคึกอะไร? พาเดินรับลมโตเกียวยามเช้าก่อนโบกแท็กซี่ซะงั้น แต่ดีที่ไม่ได้เดินโหดเหมือนเมื่อวาน แถมยังเดินผ่านแถวโรงเรียนด้วย เลยเจอกลุ่มเด็กๆ ทั้งชายหญิงพากันเดินเข้าโรงเรียน โดยมีคุณครูยืนต้อนรับด้วยรอยยิ้ม เป็นภาพที่น่ารักดีนะ

แต่… นี่มันวันเสาร์ไม่ใช่เหรอ?

เช้าวันเสาร์อันแสนสงบ กับสวนสาธารณะแถวๆ เส้นทางเดินของเรา

ช่างเหอะ แต่อย่างน้อย หลังจากเดินไปได้สักพัก ก็ได้แท็กซี่ไปด็องกี้โฮเต้ซะที

เผื่อใครไม่รู้ ด็องกี้โฮเต้เปิดตลอด 24 ชั่วโมงครับ มีของขายแทบจะทุกอย่างตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ สาขาบ้านเราก็เป็น ใครที่ชอบไปเที่ยวผับแถวทองหล่อหรือเอกมัย ตี1 ตี2 ก็ลองแวะเข้าไปดูได้ครับ

เมื่อมาถึง ทั้งสี่คนต่างพากันแยกย้ายไปซื้อขนม ซื้อของไปฝากคนที่เมืองไทย ผมก็มีซื้อขนมกลับไปติดออฟฟิศบ้าง เนื่องจากว่าผมซื้อน้อย บวกกับงก(หัวเราะ) เลยขอรวมบิลกับพี่ปลายที่ซื้อเยอะพอสมควร จะได้ขอภาษีคืนได้

ขั้นตอนการคืนภาษีสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาญี่ปุ่นนั้น ง่ายๆ ครับ แค่ซื้อของให้ครบ 5,000 เยน (ราคาแบบไม่รวมภาษี) แล้วเดินไปจ่ายเงิน จากนั้นก็นำใบเสร็จไปทำเรื่องขอคืนภาษีที่บูธ Tax Refund แต่สำหรับด็องกี้โฮเต้นั้น ก็ทำเหมือนกันครับ เขาจะมีช่องจ่ายเงินสำหรับคนที่อยาก Tax Refund โดยเฉพาะ(แต่ก็ต้องไปทำเรื่องขอเงินคืนต่ออีกทีอยู่ดี) และเนื่องจากว่าที่นี่มีการขายสินค้าจำพวกอาหารหรือเครื่องดื่มด้วย ถ้าตะกร้าของคุณมีสินค้าจำพวกนี้อยู่ พี่พนักงานคนสวยจะถามเราทันทีเลยว่า

“อาหารและเครื่องดื่มที่ซื้อไป จะกินในประเทศญี่ปุ่นเลยหรือเปล่าคะ?”

เพราะสินค้าที่จะได้รับการยกเว้นภาษีนั้น ต้องเป็นสินค้าที่เอาไปใช้งานในต่างประเทศเท่านั้น แน่นอนว่า สำหรับอาหารและเครื่องดื่มที่จะซื้อมาเพื่อกินในดินแดนนี้ จะไม่สามารถขอคืนภาษีได้ คือคุณต้องเก็บกลับไปกินประเทศตัวเองเท่านั้น(ครั้งนึงเพื่อนผมฝากซื้อเข็มขัดแปลงร่าง และยอดยังไม่ถึง 5,000 เยน เลยซื้อขนมซื้อน้ำไปถมๆ ให้ครบ และเพิ่งมารู้กฎข้อนี้ อ้าว… กะจะกินน้ำซะหน่อย สุดท้ายไอ้ขวดนั้นก็ต้องไปเปิดดื่มในไทย…) ถ้าในตะกร้ามีของที่จะซื้อเพื่อบริโภคทันที ต้องแยกบิลกันนะครับ

(นอกจากอาหารและเครื่องดื่มที่นักท่องเที่ยวซื้อกินในญี่ปุ่นจะไม่สามารถลดหย่อนภาษีได้แล้ว อาหารแช่แข็งก็ไม่สามารถลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน แม้จะหิ้วกลับไปกินที่บ้านเกิดก็ตาม…)

พอคิดเงิน เขาจะคิดในราคารวมภาษีเลย เราก็จ่ายๆ ไปตามนั้นก่อน จากนั้น เขาจะแปะใบเสร็จบนตะกร้า และให้เราเข็นของเหล่านี้ไปทำเรื่องคืนภาษีเอง(ในส่วนของด็องกี้สาขาอาซากุสะ บูธจะอยู่ชั้นบน) เนื่องจากตอนที่ผมไปนั้นเป็นช่วงเช้าตรู่ จึง Walk-In เข้าไปอย่างสบายๆ พอไปถึง เขาก็จะขอดูพาสปอร์ต ตรวจเช็คสินค้าว่าตรงตามบิลหรือเปล่า แล้วก็นำของทั้งหมดมาใส่รวมกันในถุงเดียว ก่อนจะส่งคืนให้เรา พร้อมกับเงินภาษีและพาสปอร์ต (ก่อนเดินออก อย่าลืมเช็คด้วยนะครับว่าเขาใส่ของมาให้ครบหรือเปล่า?)

จากนั้นก็กลับที่พัก เพื่อเก็บของเตรียมเช็คเอาท์ ซึ่งของทั้งหมดที่มีไม่มากของผมนั้น เอาไปใส่กระเป๋าพี่ปลายหมด และที่ Khaosan Road Ryogoku นั้นมันดีอย่างหนึ่งตรงที่ว่า ถึงเราจะเช็คเอาท์แล้ว แต่ถ้าเราบินไฟลท์เย็น เราก็ยังสามารถฝากสัมภาระไว้ที่นี่ แล้วค่อยมาเอาตอนจะไปสนามบินได้ ซึ่งเราก็ฝากสัมภาระทั้งหมดไว้ตรงนั้นแหละ

ตามกำหนดการวันนี้ก็คือ อยู่ที่อิเคะบุคุโระจนถึงบ่ายสามโมง และที่แน่ๆ 11 โมงครึ่งต้องไปที่ร้าน Kamen Rider The Diner ก่อน

ก่อนที่จะบินมาที่นี่ พี่ปลายบอกผมเลยว่าอยากไปที่นี่มากกกกกกก!!! ซึ่งผมก็แอบหวั่นๆ คือไปมันไปได้เว้ย แต่จะไปแล้วได้เข้ามั้ยเนี่ยดิ? มันต้องจองล่วงหน้าไง แต่ผมไม่รู้ว่าจะจองยังไง? คือผมไปมาแล้วสองครั้งก็จริง แต่ครั้งแรกไปกับทัวร์ ทัวร์จัดการให้ ครั้งที่สอง ไปแบบไม่ได้จองไว้ แต่ดีที่โต๊ะมีว่าง เลยได้เข้า และผมก็ไม่อยากเสี่ยง Walk-In เหมือนรอบที่แล้วแล้ว เพราะถ้าตอนนั้นไม่มีที่นั่งจริง พี่ปลายอดได้เข้า มันจะเป็นตราบาปของผมไปชั่วชีวิตเลยนะ…

แต่โชคดีที่โลกนี้มีนวัตกรรมที่เรียกว่า “Google” จึงลองเสิร์ชหาวิธีจองโต๊ะที่ร้าน Kamen Rider The Diner ดู จนมาเจอเว็บจองตรงมุมขวา ตอนแรกก็รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าอีเว็บนี้มันจะจองได้ แต่มันมีทางเลือกอื่นอีกเหรอ?

ตรงมุมขวาของ Google เวลาเสิร์ช มันมีเว็บสำหรับจองโต๊ะอยู่….

หน้าเว็บนั้นมันมีทั้งภาษาญี่ปุ่นผสมอังกฤษ ซึ่งพวกภาษาญี่ปุ่น ผม Google Translate เอา ผมก็กรอกรายละเอียด เลือกวัน-เวลาที่จะจองไป และเนื่องจากว่ามันมีช่วงที่โต๊ะเต็มอยู่จำนวนมาก บวกกับด้วยกำหนดการเดินทางของเรา จึงทำให้วัน-เวลาที่ได้นั้นเป็นวันเสาร์ เวลา 11.30 ด้วยประการฉะนี้…

พอมาถึงพาเซล่ารีสอร์ท อันเป็นที่ตั้งของร้าน ผมเดินเข้าไปหาพี่ที่เคาท์เตอร์ทันที พร้อมกับพูดว่า

“คาเมนไรดา… ไดน่า…” (“เดอร์” ออกเสียงเป็นด้า “เนอร์” ก็คงออกเสียงเป็นน่าแหละ…)

“ได้จองไว้หรือเปล่าคะ?”

“จองไว้ครับ รอบ 11.30”

“กี่ท่านคะ?”

“4 ท่านครับ”

บทสนทนาคงประมาณนี้แหละ(ไปมาสามเดือนแล้ว พวกดีเทลเล็กๆ คงลืมหมดแล้ว…) แต่ที่แน่ๆ บทสนทนาตอนนั้นทำให้ไม่รู้สึกอุ่นใจเลยว่าไอ้เว็บนั้นจะจองโต๊ะได้ จนกระทั่งเขาเรียกให้พวกเราขึ้นไปบนร้าน ผมก็ยังคิดอยู่นะว่า ที่เราได้ขึ้นมันเป็นเพราะมีโต๊ะว่างแน่ๆ

แต่พอผมเห็นเอกสารที่มีชื่อผม พร้อมกับระบุมาว่ามา 4 ท่าน เท่านั้นแหละ อุ่นใจทันทีเลย เว็บนั้นมันจองได้จริงว่ะ!!(หัวเราะ)

(สำหรับใครที่อยากไปร้าน Kamen Rider The Diner นะครับ สามารถจองโต๊ะได้ตามเว็บ https://www.tablecheck.com/shops/kamen-rider/reserve เลยครับ ถ้าใครกรอกอะไรยังไงไม่เป็น เดี๋ยวผมมาอธิบายรายละเอียดเพิ่มในภายหลังละกัน)

หน้าเคาท์เตอร์ ต้อนรับไรเดอร์คนแรกของยุคเรวะอย่างเซโร่วัน

พวกเราทั้งสี่คนเข้าไปนั่งบนโต๊ะ โดยมีคุ้กกี้ที่พิมพ์ลายไรเดอร์ ใส่ในจานเล็กๆ ชิ้นละจาน 4 ที่ คอยตั้งเป็น Welcome Eat วันนี้เวลานี้คนเยอะพอสมควร ซึ่งส่วนมากก็เป็นพ่อแม่ที่พาลูกเที่ยวนั่นแหละ บรรยากาศภายในร้านก็เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน เต็มไปด้วยมาสค์ไรเดอร์และเพลงไรเดอร์เปิดคลอ พร้อมกับจอฉายโปรเจกค์เตอร์ที่เปิด OP ของสารพัดไรเดอร์วนไป

คุ้กกี้ลายไรเดอร์ที่เป็น Welcome Eat ของร้าน

เมื่อมาถึง พี่พนักงานได้เดินเข้ามา พร้อมกับโพยแนะนำกฎกติกาการใช้ที่มีทั้งภาษาอังกฤษและญี่ปุ่นขนาด A4 มาให้เราอ่าน ผมก็สรุปข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในนั้นให้พี่ๆ ทั้งสามคนฟัง

กฎการใช้บริการของที่นี่ เราจะนั่งได้แค่ 90 นาทีเท่านั้น คิดค่านั่งบวกเข้าไปคนละ 500 เยน หนึ่งคนต้องสั่งอาหารและเครื่องดื่มคนละอย่าง และทุกเมนูตั้งแต่สูตรการปรุงไปจนถึงการตกแต่งจานมีลิขสิทธ์จากโตเอะ ไม่สามารถขอให้พ่อครัวปรับสูตร หรือเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวอาหารได้ทั้งสิ้น อย่างสมมติ คุณแพ้กุ้ง คุณจะสั่งข้าวผัดโอนเนอร์ที่มีกุ้ง คุณจะขอให้เขาไม่ใส่กุ้งไม่ได้! หรือกราแตงที่แต่งหน้าให้เป็นคิแบท คุณจะขอให้เขาเปลี่ยนการแต่งหน้าให้เป็นเจ้าไมท์ตี้ไม่ได้! เช่นกัน

เราก็สั่งอาหารกัน ผมกับพี่ปลายทานข้าวผัดเด็นไลนเนอร์ พี่ม็อบที่บ่นอยากทานทาโกะยากิมาตลอดทริปสั่งเป็นทาโกะยากิของเนโครม ส่วนพี่หนึ่งสั่งเป็นข้าวแกงกะหรี่ร้านโปเระโปเระจากคูกะ

ส่วนเครื่องดื่ม เราก็สั่งกันคนละแบบ แต่จำได้ว่าของผมกับพี่หนึ่งเป็นเครื่องดื่มช่วงพิเศษที่แถมเข็มกลัด แต่คราวนี้เขาไม่ได้ยกกล่องให้เราล้วงสุ่มเข็มกลัดเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เอาเข็มกลัดมาวางให้ที่โต๊ะเลยสองอัน

เครื่องดื่มพิเศษ ที่จะมีแค่ในช่วงนั้นๆ เท่านั้น และทุกๆ แก้ว เขาจะแถมเข็มกลัดแบบสุ่มมาให้ด้วย

เมื่อของทุกอย่างมาเสิร์ฟ เราก็ทานกันอย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งพี่ปลายถามผมว่า

“แผน ไอ้นี่มันกินได้เปล่าวะ?”

บนเครื่องดื่มขอพี่ปลายมันจะมีของตกแต่งอยู่บนปากแก้ว ทันทีที่ผมเห็น ผมก็ร้องอ๋อทันที…

มันคล้ายกับตอนที่ผมมาที่นี่เมื่อสองปีที่แล้วเลย บนเครื่องดื่มของผมก็มีของตกแต่งเหมือนกัน และพอผมกัดเข้าไป มันเป็นเวเฟอร์ครับ

“อ๋อ… กินได้พี่ มันเป็นเวเฟอร์พี่”

“เหรอ? มันเหมือนกระดาษลังนะ”

และพี่ปลายก็กัดเข้าไป…

“มันจืดๆ อ่ะ มันกินได้จริงเหรอแผน”

“กินได้ดิพี่ ขอชิมหน่อย”

ผมหยิบไอ้นั่นบนแก้วพี่ปลายขึ้นมากัด แล้วเคี้ยวๆ อืม… ทำไมคราวนี้มันเหนียวๆ จังวะ แถมรสชาติยังสากๆ ผมหน้าซีดอยู่ในใจ “หรือว่ามันจะเป็นกระดาษลังจริงๆ วะ? และที่กินไปตอนนั้นก็คงเป็นกระดาษลังเหมือนกันเหรอ?”

ผมไม่ได้ตอบพี่ปลายว่าไอ้ที่กินเข้าไปนั้นมันคืออะไร? แต่เอาเป็นว่า ทุกวันนี้ผมกับเขายังมีลมหายใจอยู่…

เครื่องดื่มที่ตกแต่งในธีมของมาสค์ไรเดอร์เซโร่วัน รสชาติจะเป็นน้ำมะนาวครับ

พอนั่งซึมซับบรรยากาศในร้านจนหนำใจแล้ว ก็ถึงเวลาเช็คบิล เช่นเดิมครับ เขาจะมีแผ่นรองแก้วให้สะสมกันคนละใบ ซึ่งงวดนี้ไม่ใช่แค่โลโก้ตัวไรเดอร์สีดำบนแผ่นสีแดงเท่านั้น แต่มาทั้งหน้าตาเลย(เสียดายอยู่ที่พี่ปลายหมด เลยไม่มีรูปให้ดู) และก่อนที่เราจะเดินออกจากร้าน จู่ๆ พี่พนักงานก็ได้เบรคเราไว้ก่อน

เธอเดินมาหาเราพร้อมกับจานเล็กๆ 4 ใบที่ใส่คุ้กกี้ให้เรากินในตอนแรก เขาบอกว่าอันนี้ให้เอากลับบ้านได้เลย

อืม… ก็คุ้มกับค่านั่ง 500 เยนดีนะ

โปสเตอร์ พร้อมลายเซ็นของนักแสดงนำ

คราวนี้ก็เป็นเวลาฟรีไทม์แล้ว พี่ๆ ทั้งสามคนได้ไปที่ห้าง Sunshine City ส่วนผมขอแวะที่ Tower Records ก่อนแล้วค่อยไปสมทบ ผมซื้ออัลบั้ม Voice อีพีอัลบั้มภาษาญี่ปุ่นของแทยอนได้สำเร็จ(แต่พอเปิดฟังที่บ้านแล้ว… รู้สึกเฉยๆ บวกกับนางมาปล่อยอัลบั้มภาษาเกาหลีชุดใหม่ในเดือนตุลาคม เลยรู้สึกเสียดายเงินขึ้นมาทันที…)

โรงภาพยนตร์ grand cinema sunshine เดินผ่านพอดี…

จากนั้นผมก็เดินไปที่ห้าง Sunshine City ทันที่ที่ไปถึง โอ้โห… ปิ๊กาจูมาโชว์ตัวหน้าห้างพอดี และบรรดาผู้ปกครองและเด็กๆ ก็พากันถ่ายคลิปอย่างสนุกสนาน ผมยืนดูซักพัก ก่อนจะเดินเข้าไปในห้าง พร้อมโทรหาพี่ปลายว่าอยู่ตรงไหนของห้าง?

แหม… มาช่วงที่ปิ๊กาจูมาโชว์ตัวพอดี

ผมเจอกับพี่ๆ ทั้งสามคนที่ร้าน Toy R Us ผมก็เดินดูของไปเรื่อยๆ ตามประสาผม จนมาหยุดที่บูธซองใส่การ์ด เออว่ะ ซองใส่การ์ดที่ซื้อจากญี่ปุ่นคราวที่แล้วหมดพอดี มาถึงตรงนี้แล้ว เลยกะจะซื้อเพิ่มสักหน่อย และดีที่พี่หนึ่งซึ่งเป็นโปรด้านการ์ดเกมพอดี พี่เขาก็แนะนำซองให้ จนสุดท้ายผมหยิบมาซองนึง

แต่เอาเข้าจริง ซื้อมาก็ใส่การ์ดกันบาไรด์แค่ไม่กี่ใบ นอกนั้นคือใส่เชกิ(รูปโพลารอยด์)ที่ถ่ายกับไอดอลอย่างเดียว…

(เพราะอย่างนี้ไง ซองที่แล้วถึงหมดไว…)

เวลาใกล้จะหมดลงเรื่อยๆ พี่ปลายเริ่มไอ ทันทีที่ผมเห็นอาการพี่เขา ผมถามเลยว่า…

“พี่ติดจากผมเปล่าวะเนี่ย?” (คือตอนกินข้าวที่ Kamen Rider The Diner ผมก็กินน้ำที่พี่ปลายสั่งด้วย)

“ไม่หรอก พี่เป็นภูมิแพ้อยู่แล้วไง”

“อ๋อ…”

“แต่อาจจะมีส่วน!”

ไม่พูดพร่ำทำเพลงมาก พี่ปลายเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อที่ใกล้ที่สุด เพื่อไปซื้อแมสก์มาใส่

เนื่องจากว่าพวกเราไม่มีแผนจะซื้ออะไรแล้ว นาทีท้ายๆ ของการอยู่ที่อิเคะบุคุโระจึงมาอยู่ที่ร้านคีบตุ๊กตา

เมื่อได้เวลา เรากลับไปเอาสัมภาระที่ฝากไว้กับที่พัก แล้วออกเดินทางไปสู่สนามบินนาริตะทันที

แต่เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกส่งท้าย เพราะแผนการขึ้นรถไฟที่ Google Maps คำนวณให้นั้นสุดแสนจะกวนเบื้องล่างซะเหลือเกิน หลังจากที่เรานั่งรถไฟจากสถานีเรียวโกคุได้สักพัก ต้องเปลี่ยนสาย และสายที่เปลี่ยนดันอยู่อีกฟากนึง ก็ต้องเดินฝ่าเมืองไปอีก 8-10 นาที พอเปลี่ยนสายปุ๊บ พบว่าขบวนที่นั่งอยู่จะไปไม่ถึงสนามบินนะ ต้องขึ้นขบวนที่ตามหลังมา เราก็ลง เปลี่ยนขบวน วุ่นวายสุดๆ เลย(หัวเราะ)

ระหว่างทาง ที่ต้องไปเปลี่ยนขบวนรถไฟ…

แต่แล้วก็มาถึงสนามบินนาริตะจนได้ เช็คอินเรียบร้อยเสร็จสรรพ ไม่มีปัญหา เหลือเวลาก็ลงไปกดกาชาปอง แล้วก็เดินเล่นใน Duty Free พอประมาณ พี่ๆ ทั้งสามคนเข้าไปซื้อของฝากต่อ ส่วนผมที่ไม่มีเงินแล้วก็ยืนรอไป แถมอาการปวดเท้าก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง

แต่เหมือนพี่ๆ จะช็อปเพลินไปหน่อย จนทำให้ใกล้ได้เวลาจะขึ้นเครื่องแล้ว เมื่อเสร็จกิจ ทุกคนรีบวิ่งไปที่เกททันที ผมก็เช่นกัน แต่เนื่องจากอาการปวดเท้า พอวิ่งปุ๊บ ความทรมานก็มาปั๊บ ผมเริ่มกัดฟัน ร้องอ๊ากกกกกกกกก!!! ในใจ บวกกับพอมองไปข้างหน้า…

“แผน!! เร็วเข้า!!”

พี่ปลายก็พยายามเร่งให้เรารีบตามมา ใจจริงมันก็อยากไวนะ แต่เท้ามันเจ็บปวดมาก มันวิ่งให้ไวกว่านี้ไม่ไหวแล้ว ในใจคือร้องไห้ไปแล้ว…

พอวิ่งไปเรื่อยๆ เจอบิลบอร์ดขนาดใหญ่ของมาสค์ไรเดอร์และซูเปอร์เซนไทพอดี แวะถ่ายรูปด้วยความเร็วแสง จากนั้นก็วิ่งไปที่เกทต่อ ผมตอนนั้นคือแบบไม่วิ่งแล้ว เปลี่ยนมาเป็นเดินเร็วแทน ปล่อยให้พี่ๆ ทั้งสามคนวิ่งนำหน้าไป

แวะถ่ายกับบิลบอร์ดสามรุ่นแรกของยุคซักหน่อย (ดูจากสีหน้าแล้วโคตรอิดโรยเลย…)

แต่สุดท้ายก็มาถึงเกทจนได้ แถมเขายังต่อแถวรอขึ้นเครื่องกันอยู่เลย…

“นี่พวกเราจะวิ่งเพื่ออะไรวะ?”

ผมคิดในใจ

พอขึ้นเครื่องปุ๊บ ผมได้นั่งคนละโซนกับพี่ๆ ทั้งสาม(เพราะไม่ได้จองด้วยกัน) แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะทันทีที่ก้นแตะที่นั่ง หัวผมก็แตะกับผนังเครื่องบินแล้ว

ระหว่างบินกลับ ผมตื่นขึ้นมาสองช่วง ช่วงแรกคือตอนที่เขาเสิร์ฟมื้อดึก ซึ่งพี่ปลายบอกว่าไม่ได้จองให้ เลยหลับต่อ ตื่นมาอีกทีคือใกล้ถึงสนามบินดอนเมืองแล้ว ตอนนั้นรู้สึกว่ามันไวกว่าปกติจัง?

หลังจากรับกระเป๋า ผ่านศุลกากรแล้ว พวกเราก็เริ่มแยกสัมภาระของใครของมันกัน จากนั้นพี่หนึ่งก็แยกกลับบ้านทันที ส่วนที่เหลือ ที่บ้านอยู่ละแวกใกล้เคียงกัน ก็เหมาแท็กซี่กลับบ้านกันไป

ผมถึงบ้านประมาณตี 3-ตี 4 จัดแจงเก็บของเสร็จ ก็หลับทันที

เป็นทริปที่สนุกมากจริงๆ และมันจะสนุกแบบนี้ไม่ได้ถ้าไม่มีทุกคน ขอบคุณจริงๆ ครับ
(เครดิต : รีวิวแมน)

การได้มาเที่ยวกับพี่ปลายและชาวคณะในครั้งนี้มันได้ปลดล็อคอะไรหลายๆ อย่าง ไม่คิดว่าจะได้ความสุขมากมายขนาดนี้ ได้มาเยือนที่ๆ อยากไป หลังจากที่เห็นในโทรทัศน์มาตลอด ได้มาเจอผู้คนดีๆ ในที่ๆ นั้น ได้พาพี่ๆ ไปพบเจอกับประสบการณ์ดีๆ ยังไงก็ต้องขอขอบคุณพี่ปลาย พี่ม็อบ และพี่หนึ่งด้วยนะครับที่เดินทางมาด้วยกันตลอดทริป

เอาจริงๆ ในอนาคตของผมยังมีอีกหลายทริป หลายเป้าหมายที่อยากไปเยือนเหมือนกันนะ คราวหน้าจะเป็นทริปแบบไหน เดี๋ยวผมมาเล่าให้ฟังนะครับ

About Pan Yoshizumi 118 Articles
นอกจากซูเปอร์ฮีโร่จะเป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบแล้ว ผมยังชอบไอดอลสาว และการท่องโลกอีกต่างหาก....