วันที่ 3 ของทริป
ถ้าจำไม่ผิด ก่อนนอนเหมือนเราสรุปกันว่า จะตื่นกันตอน 7 โมง แล้วออกจากที่พัก 8 โมง แต่พอถึงเวลานั้นปุ๊บ….
ผมก็ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอน 7 โมงเช้านั่นแหละ แต่พอถึงเวลาปุ๊บ ผมตื่นมาปิดเสียงนาฬิกาปลุก แต่พี่ๆ ทั้งสามยังคงหลับใหลอยู่เลย ผมเห็นแล้วก็แบบ… อืม… โอเค นอนต่อก็ได้วะ
สรุปคือ ตื่นกันจริงๆ ตอน 7 โมงครึ่งครับ ทุกอย่างก็เลทเกินจากที่วางแผนไว้ครึ่งชั่วโมง วันนี้พี่ปลายนัดให้ใส่เสื้อรีวิวแมนกันทั้งคณะ คือพี่แกเตรียมมาให้คนละตัวเลย ถ้าเลื่อนอ่านลงเรื่อยๆ จนเห็นลายเสื้อแล้วรู้สึกชอบล่ะก็ ไปสั่งเอาที่เพจรีวิวแมนละกันนะ เสื้อสวยครับ แถมเนื้อผ้าเป็นแบบเสื้อกีฬา ซับเหงื่อได้ดีเลย แต่อนิจจา เสื้อไซส์ใหญ่สุดมีแค่ XXL ซึ่งไซส์ XXL ของเสื้อยืดกีฬามันเล็กกว่าเสื้อยืดปกตินะ สรุป พอผมใส่ปุ๊บ โคตรแน่นเลย เลยต้องใส่แจ็คเก็ตทับไปอีกชั้น(ทั้งๆ ที่วันนี้ไม่อยากใส่แจ็คเก็ตเลย)
ภารกิจในวันนี้ ผมเป็นไกด์หลัก และก็จัดแผนการเดินทางเองเลย เริ่มแรก เราจะเดินทางไปที่ไซตามะ เพื่อพาชาวคณะไปยังไซตามะซูเปอร์อารีน่า ซึ่งเป็นสถานที่ที่เหล่าฮีโร่ในเครือโตเอะชอบมาตีกันบ่อยมากๆ จากนั้นก็เดินทางต่อไปยังร้านอาหารที่มีชื่อว่า senkiya ร้านนี้ใช้เป็นร้านซ่อมนาฬิกาของลุงจุนอิจิโร่ หรือบ้านของโซโกะในมาสค์ไรเดอร์จิโอนั่นแหละ ก็ไปกินข้าว ไปซึมซับกลิ่นอายของบ้านท่านจอมมารสักชั่วโมง แล้วนั่งรถไฟยาวๆ ไปยังโยโกฮาม่า เพื่อไปร้านคาเฟ่ที่มีชื่อว่า Paty Café ที่เขาใช้เป็นร้าน Bistrot Jurer ที่เหล่าลูแปงเรนเจอร์สุมหัวและก็ทำงานหารายได้พิเศษกันที่นั่น
เชื่อว่าแฟนคลับของพี่รีวิวแมนหลายคนอาจจะอยากก่นด่าข้าพเจ้าในใจประมาณว่า “พี่จัดกำหนดการประสาอะไรเนี่ย? ให้พี่รีวิวแมนเดินทางเหนื่อยขนาดนี้ได้ไง?” คือถ้าเทียบกับประเทศไทย มันเหมือนกับว่า ออกจากรุงเทพขึ้นไปไหว้พระปฐมเจดีย์ที่นครปฐมช่วงเช้า ก่อนจะนั่งรถลงไปยังฟาร์มจระเข้ที่สมุทรปราการช่วงเย็น มันสมบุกสมบันขนาดนั้นเลย แต่ผมกล้าที่จะจัดกำหนดการแบบนี้ เพราะว่า… ญี่ปุ่นรถไม่ติดหรอก แถมรถไฟมีเวลาเข้าออกตรงเวลา หมดห่วงเรื่องเลทไปเปราะนึง และอีกเหตุผลที่ผมยอมนั่งรถไฟจากไซตามะทะลุโตเกียวมาลงที่โยโกฮาม่านั้น เพราะอยากให้พี่ปลายได้ไปที่ Paty Café จริงๆ อยากให้เขาได้ไปสัมผัสบรรยากาศที่ใช้ในการถ่ายทำหนังที่ตัวเองพากย์เสียงดูสักครั้งในชีวิต(เผื่อใครไม่รู้ ในลูแปงเรนเจอร์ พี่แกพากย์เป็นลูแปงเรดนะจ๊ะ)
แต่ก่อนจะออกเดินทางก็ต้องกินข้าวเช้าก่อน เนื่องจากที่พักไม่มีเบรกฟาสต์ให้ เลยต้องไปซื้อกินที่เซเว่น อันนี้แนะนำเลย (หรือจะไปหาไรกินที่ร้านสะดวกซื้อเจ้าอื่นอย่างแฟมิลี่มาร์ทหรือลอว์สันก็ได้) เพราะถูกและอร่อยดี เหมาะสำหรับคนที่อยากได้พลังงานแต่ก็อยากเซฟงบ
หลังจากท้องอิ่มก็ออกเดินทางไปยังไซตามะทันที การไปไซตามะซูเปอร์อารีน่าสำหรับผมไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะไปมาแล้วเมื่อต้นปี เดินคล่องสุดๆ แต่พอลงจากสถานีไซตามะ-ชินโทชิน และชะเง้อมองไปยังไซตามะซูเปอร์อารีน่าเท่านั้นแหละ
คนเยอะจังวะ…
เหมือนจะมีคอนเสิร์ต และพวกเขาคงมาต่อแถวซื้อของที่ระลึกในงานกัน
แต่ถึงกระนั้น รีวิวแมน โก ยังคงถ่ายทำต่อไป และผมขอแนะนำที่นี้ให้ผู้อ่านอีกที ไซตามะซูเปอร์อารีน่า อย่างที่บอกครับ ที่นี่เป็นที่ๆ เหล่าฮีโร่โตเอะมาตีกันบ่อยมาก ไม่ว่าจะศึกเล็กศึกใหญ่ ก็มักจะมาตีกันตรงหน้าฮอลล์เนี่ยแหละ ทั้งการต่อสู้ในโลกมิลเลอร์เวิลด์ของเหล่าไรเดอร์ในซีรีส์ริวคิ ศึกประชันความเป็นหนึ่งระหว่างไรเดอร์กับเซ็นไทใน Super Hero Taisen ไปจนถึงรุ่นพี่รุ่นน้องไรเดอร์ตีกันเองใน Kamen Rider Taisen อันนี้ยังแค่แซมเปิ้ลนะครับ ยังมีอีกหลายเรื่องที่พวกเขายกมาสู้กัน
แต่วันที่มาเขามีคอนเสิร์ตกันเนี่ยดิ เลยอาจจะซึมซับอรรถรสความเป็นสมรภูมิต่อสู้ได้ไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่ ชนิดที่ว่าพี่ปลายพี่ม็อบอยู่ถ่ายรปเล่นกับโมเดลตัวเองแปปๆ ก็ออกแล้ว
จากไซตามะซูเปอร์อารีน่าไปร้าน senkiya ใช้เวลาไม่ค่อยนานเท่าไหร่ แค่นั่งรถไฟไปลงที่สถานีฮิงาชิ-อุราวะ แล้วต่อรถเมล์ก็ถึงแล้ว แต่ประเด็นคือ… ผมไม่ค่อยเชี่ยวเรื่องรถเมล์เท่าไหร่ ถึงจะดูจาก Google Maps รู้ว่ารถเมล์จะมากี่โมง แต่มันขึ้นรถเมล์ตรงไหนเนี่ยดิ? ผม ณ ตอนนั้นที่ก็ไม่คิดอะไรมาก เลยพาพี่ๆ ทั้งสามคน ไปยืนรอรถเมล์ตรงป้ายรถเมล์ที่สะดุดตาที่สุด นั่นก็คือตรงข้ามสถานี
พอรถเมล์มาถึงปุ๊บ ผมก็เข้าไปถามแบบงงๆ ทันทีว่า
“ใช่ที่ไปที่นี่ (จิ้มแผนที่ให้ดูร้าน senkiya) หรือเปล่าฮะ?”
แต่เขาบอกประมาณว่าไม่ใช่ ต้องขึ้นรถเมล์ฝั่งสถานีนะ
โอเค…
รู้สึกงวยงงกับชีวิตมาก สับสนหนทางแบบสุดๆ แต่พี่ปลายก็ได้ปิ๊งไอเดียกันว่า หารค่าแท็กซี่มั้ย? (เพราะมากันสี่คน ค่าแท็กซี่ต่อคนก็เท่าๆ กับรถสาธารณะอยู่ดี) ทุกคนโอเค จึงตัดสินใจเดินไปตามทาง พลางโบกรถแท็กซี่ไปด้วย
แต่อนิจจา… ไม่มีคันไหนจอดเลย…
เขาจะไปเติมแก๊สหรือยังไงวะ? นี่คิดในใจ แต่พอคิดดูดีๆ บริเวณฟุตบาธที่เราเดินอยู่อาจเป็นที่ห้ามจอดก็ได้ และในเมื่อโบกแท็กซี่ไม่ได้ บวกกับการที่ตอนนั้นร้านยังไม่เปิด พี่ม็อบเลยมีความเห็นว่า งั้นเราก็ไม่ต้องรีบ เดินไปจนถึงร้านเลยแล้วกัน
อืม… เข้าท่านะ
และสุดท้าย ทั้งสี่คนจึงพากันเดินเท้าไปจนถึงร้าน senkiya เป็นระยะทางกว่า 3 กิโลเมตร
ระหว่างทางเดินนั้น ได้สัมผัสถึงวิถีชีวิตของคนในชานเมืองปริมณฑลของญี่ปุ่นอย่างเต็มสูบ ทั้งบ้านที่มีทั้งทรงโบราณและสมัยใหม่สลับกันไป ต้นไม้พงหญ้าเขียวขจี โดยเฉพาะป่าไผ่ที่แอบไปนั่งพักผ่อนฟังเสียงจิ้งหรีดนิดหน่อย เรือกสวนไร่นาของชาวบ้าน บวกกับอากาศแสนสดชื่นไร้ฝุ่น PM 2.5 แถมยังเย็นสบาย จึงทำให้การเดินเท้าชมธรรมชาติในครั้งนี้มันช่างฟินซะเหลือเกิน
เหรอวะ!!!?
ระยะทางมันตั้งสามกิโลเมตร ขึ้นเนินลงเนิน ข้ามคลองข้ามมอเตอร์เวย์ยังไม่พอ อากาศเย็นสบายจริง แต่แดดแรงมาก อุณหภูมิเลยตีกันระหว่างร้อนกับเย็น และยิ่งใส่แจ็คเก็ตด้วยนะ โอ้โห… เหนื่อยเลย เหนื่อยจนต้องถอดแจ็คเก็ตออก และเชื่อว่าพี่ๆ ทั้งสามคนก็เหนื่อยเหมือนกัน ถึงขนาดว่าเจอเพิงหลบแดดพร้อมตู้โค้กปุ๊บ เข้าไปนั่งพักปั๊บ พลางกดโค้กออกมาดื่มแก้กระหาย
แต่ก็อย่างว่าแหละเนาะ ร้านไม่มีขา มันไม่หนีไปไหนหรอก เดินไปเรื่อยๆ ก็ถึง สุดท้ายก็ถึงร้านตอนที่มันเปิดพอดี เห็นหน้าร้านปุ๊บ หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง แถมในใจผมแทบอยากจะร้องออกมาว่า “IWAE!! ในที่สุด ฉันก็ได้มาถึงที่นี่ซักที บ้านของโทคิวะ โซโกะ ไม่สิ โอมะจิโอ….” แต่… สุภาพชนเขาไม่ทำกันอย่างนั้น
ทันทีที่เข้าไปในร้านเท่านั้นแหละ โห… คนเต็มร้านเลย เหลือตัวเดียวที่ตั้งด้านนอก เลยต้องนั่งตรงนั้น แต่ก่อนไปนั่ง เพื่อความแน่ใจ ผมเลยถามพี่พนักงานสุดสวย ที่น่าจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยว่า…
“คาเมนไรดาจิโอ…” (เอานิ้วชี้จิ้มลงพื้น)
“อ่อ… ไฮ้!” นางยิ้มกลับมาเหมือนจะบอกว่า ใช่แล้วค่ะ
สรุปก็คือที่นี่แหละครับ เพียงแค่ตอนถ่ายทำ เขาจะวางกำแพงปิดส่วนด้านซ้ายของบ้าน ที่เป็นประตูบานเลื่อนกระจกที่เห็นภายในได้นั่นเอง
เท่าที่ดูลูกค้าที่เต็มร้านอยู่นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นครอบครัวที่พาลูกมาทานข้าวเสียมากกว่า แต่เป็นเพราะอิทธิพลของมาสค์ไรเดอร์จิโอหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ถ้าเล่าเท่าที่เห็น ณ ตอนนั้นก็คือ ร้านเปิดเพลง Easy Listening สบายๆ และเท่าที่ส่องอาหารที่พวกเขากินกัน อืม… ก็น่าทานดีนะ
ทันทีที่เราถึงโต๊ะ พี่สาวคนเดิมก็เดินมารับออเดอร์ แต่… เมนูไม่มีภาษาอังกฤษเลย สั่งยากไปอีก แต่นางก็ได้พยายามแนะนำโอมากาเสะของที่นี่ ด้วยสกิลภาษาเท่าที่นางมีให้พวกเรา จับใจความได้ว่า เซ็ตข้าวพร้อมน้ำ แค่ 1,500 เยน ข้าวเขาไม่ได้บอกว่าเป็นข้าวอะไร(ถึงบอกพวกเราก็ฟังไม่รู้เรื่อง) แต่น้ำ เขาบอกมีให้เลือกทั้งโค้ก กาแฟ น้ำบ๊วยแบบผสมจิงเจอร์เอลหรือไซเดอร์ เราก็สั่งเซ็ตนั้นเหมือนกันหมด แตกต่างกันแค่น้ำดื่ม
พอพี่สาวเดินจากไป พวกเราก็นึกขึ้นได้ว่า 1,500 มันแพงไปเปล่าวะ? แต่อย่างน้อยก็กินนี่เป็นมื้อเที่ยงก็ได้นิ คุยกันไปคุยกันมา จู่ๆ พี่ชายอีกคนที่ตอนเดินเข้าร้าน แกอยู่ในครัว ก็ได้เดินเข้ามาบอกพวกเราเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่พอได้ยินคำว่า “เกซ” เท่านั้นแหละ เลยจับใจความได้ว่า โต๊ะที่คุณโอชิดะ กาคุ หรือไรเดอร์เกซเคยนั่งมันว่างแล้วนะ สนใจย้ายไปตรงนั้นมั้ย? เราก็ตกลง ย้ายไปโต๊ะนั้น
เผื่อใครไม่รู้ ในภาพยนตร์ Heisei Generation Forever ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ การที่เหล่าตัวละครในซีรีส์ไรเดอร์ถูกดึงเข้ามาอยู่ในโลกความจริง เขามีการเล่นมุก ให้เหล่าตัวละครรู้สึกแปลกใจ ที่ร้านซ่อมนาฬิกาได้กลายเป็นร้านคาเฟ่ตามเรื่องจริงไปแล้ว จึงทำให้มีการถ่ายทำภายในร้านด้วย จากปกติที่ด้านในร้านจะเซ็ตฉากเอาในสตูดิโอ
ด้วยเหตุนี้ โต๊ะในร้านจึงได้มีการเจิมจากเหล่านักแสดงด้วยเช่นกัน ผมว่าเขาคงคุยกันหลังร้านแล้วล่ะ ว่าไกจิน 4 ตัวนี้เป็นแฟนมาสค์ไรเดอร์นะ เขาเลยเซอร์วิสเต็มที่จนประทับใจสุดๆ
แต่เมื่ออาหารมาเสิร์ฟเท่านั้นแหละ พวกเราถึงกับชะงัก เพราะมันเป็นแค่ข้าวกล้อง กับไก่ และก็ผัดผัก นี่เขาเห็นว่าเราอ้วนจนต้องกินอาหารชีวจิตเลยเหรอ? แต่พอลองทานเท่านั้นแหละ อื้อหือ… รสชาติดีกว่าที่คิดไว้เยอะเลย ผมชอบนะ ส่วนน้ำ ผมสั่งเป็นน้ำบ๊วยผสมไซเดอร์มา รสชาติเปรี้ยวๆ เค็มๆ ตัดความหวานของไซเดอร์กำลังดีเลย อย่างน้อยก็ดีกว่าน้ำบ๊วยของร้านไก่ทอดเจ้านึงที่แทบจะฉีดเข้าเส้นเลือดแทนน้ำเกลือได้เลย
บวกกับผัดเห็ดแสนอร่อย สลัดฟักทองสดกรอบ และมะเขือม่วงนุ่มละมุนลิ้น
ขายพร้อมน้ำแค่ 1,500 เยน
หลังจากที่เราคิดเงินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็พากันถ่ายรูป พลางซึมซับบรรยากาศในร้านต่อ แม้ว่าพี่ๆ พนักงานจะพูดอังกฤษไม่ได้เลย แต่พวกเขาก็ใจดีมาก เทคแคร์เราสุดๆ ให้ถ่ายรูปร้านได้เต็มที่เลย รู้สึกประทับใจกับการมาเยี่ยมที่นี่มาก ใครอ่านอยู่ ผมแนะนำให้ต้องมาเลย ถ้ามาญี่ปุ่นแล้ว แต่ก่อนไปก็ส่องไอจีร้าน ดูอาหารที่เขาขายซะก่อนนะ ถ้าไม่อยากเจออาหารชีวจิตแบบพวกเรา พี่ปลายบอกรู้สึกเจ็บใจมาก รู้งี้สั่งแฮมเบอร์เกอร์ซะก็ดี
(เครดิต : รีวิวแมน)
โชคดีที่หน้าร้านมีป้ายรถเมล์ และจากที่เช็คแล้ว เราสามารถนั่งรอรถเมล์ที่นี่ เพื่อไปยังสถานีรถไฟฮิงาชิ-อุราวะได้ทันที เมื่อรถเมล์มาถึง พวกเราก็ขึ้นไปทันที
จากตรงนี้ไป คงไม่มีปัญหาอะไรแล้วแหละ…
อาจจะฟังดูบ้าพลังไปซักหน่อยที่ต้องนั่งรถไฟลงจากไซตามะ ทะลุโตเกียว แล้วไปลงที่โยโกฮาม่าต่อ แต่ตลอดการนั่งรถไฟครั้งนั้น ไม่มีปัญหาอะไรเลย แม้จะใช้เวลาสองชั่วโมงก็ตาม ทั้งเรื่องเปลี่ยนขบวนรถหรืออะไร ฉลุยฮะงวดนี้ ผมกับพี่ๆ บางคนแทบจะหลับกันเลย
เมื่อถึงจุดหมายปลายทางอย่างสถานีอิชิคาวะโจ เราก็ต้องเดินต่อไปอีกเกือบกิโลเมตร แต่ทิวทัศน์รอบๆ คราวนี้จะเป็นย่านร้านค้า ที่เต็มไปด้วยสินค้าแฟชั่นมากมาย แถมบรรยากาศโดยรอบนั้นโคตรไฮเอนด์เลย พอพ้นย่านร้านค้าก็ต้องขึ้นเนินไปอีก แต่บ้านเรือนแถวนั้นเขาสวยมากเลยนะ อย่างกับกรุงโซลแหน่ะ และก็ถึงที่หมายจนได้
บรรยากาศรอบๆ ร้าน Paty Café มันดูคูลมากเลย อย่างกับหลุดมาอยู่ในเรื่องลูแปงเรนเจอร์จริงๆ หลังจากที่เราชำเลืองดูเวลาเปิด-ปิดร้านสักพัก โอเค ร้านยังไม่ปิด เข้าไปเลย ทันทีที่เข้าไป พบว่าตัวร้านนั้นเล็กกว่าที่คิดไว้เยอะมาก มีแค่ 2-3 โต๊ะเอง ตอนที่ไปไม่มีลูกค้าคนอื่นเลย เลยพากันไปนั่งด้านในสุด
นี่พาพี่ปลายมาถ่ายมุมเดียวกับที่นักแสดงลูแปงเรดมาถ่ายเลยนะเนี่ย
หลังจากลูแปงเรนเจอร์ ปะทะ แพทเรนเจอร์ปิดกล้องไป ทางร้านก็นำอานิสงส์ที่ได้มาจากการที่โตเอะมาใช้สถานที่หน้าร้าน มาต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับทางร้าน ด้วยการนำกลิ่นอายของซีรีส์นี้มาแซมในร้านบ้าง ไม่ว่าจะตกแต่งร้านด้วยสินค้าจากเรื่องนี้ โดยเฉพาะป้ายร้าน Bistrot Jurer ที่ใช้ถ่ายทำ ร้านนี้ก็ยังเก็บไว้โชว์ให้ลูกค้าได้เห็นเป็นบุญตา แถมหน้าเคาท์เตอร์ยังมีลายเซ็นของเหล่านักแสดงหลักทั้งฝั่งโจรและตำรวจ ไปจนถึงทีมงานคนสำคัญ แปะไว้เป็นอนุสรณ์อีกด้วย
และป้ายร้าน Bristrot Jurer ที่ใช้ถ่ายทำจริงๆ
(ว่าแต่… เขาจะไม่ขึ้นไปข้างบนเลยเหรอ?)
ทันทีที่เราเข้าไปนั่ง พี่ผู้ชายที่น่าจะเป็นเจ้าของร้าน หน้าตาดุๆ หน่อย แกก็เดินมารับออเดอร์ กฎของที่นี่(และน่าจะแทบทุกร้านในญี่ปุ่น) ลูกค้า 1 คน ต้องสั่งอาหารและน้ำคนละอย่าง ผมก็สั่งชิฟฟ่อนเค้กไป เพราะมีกำกับไว้ท้ายๆ ว่า “ทำสดวันต่อวัน” ด้วยเซนส์ของเราเลยคิดว่า เฮ้ย! มันต้องอร่อยแน่เว้ย! แต่… หลังกลับไป เพื่อนผมบอกว่า ชิฟฟ่อนเค้กเขาทำกันวันต่อวันอยู่แล้วเว้ย! ส่วนน้ำ สั่งเป็นโกโก้ร้อน เพราะลำคอมีปัญหา ไอไม่หยุดเลย(ไอหนักมากจนพี่ปลายต้องให้ใส่แมสก์อ่ะ) กินของร้อนๆ จะดีกว่า
และเหมือนทุกๆ ที่ครับ ถ้าอยากจะถ่ายอะไร ทางที่ดี ควรขออนุญาตหน่อยก็ดี หลังจากที่พี่เขาเดินไปส่งออเดอร์ที่ครัว และเดินกลับมาหาเราพี่ปลายเลยงัดสกิลภาษาญี่ปุ่นที่มีอยู่น้อยนิด มาเรียบเรียงคำพูด เพื่อแนะนำตัวและขอถ่ายวิดีโอในร้าน และเมื่อพี่ชายกลับมาที่โต๊ะปุ๊บ พี่ปลายก็เริ่มบทสนทนาทันที
“ผม… เป็นนักพากย์จากประเทศไทย ผมเป็นคนให้เสียงลูแปงเรดในภาษาไทย ผมอยากจะขออนุญาตถ่ายวิดีโอในร้านลงยูทูปได้มั้ยครับ?”
เหมือนเขาจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่? เลยพยายามคุยกันต่อ พี่ปลายก็ได้หยิบมือถือ เปิดคลิปลูแปงเรนเจอร์พากย์ไทยให้พี่แกฟัง
“นี่เสียงคุณเหรอ?” เขาถาม
“ใช่ครับ”
“แล้วคนที่พากย์อีกสองคน…” พี่เขาหมายถึงลูแปงบลูกับเยลโล่ ซึ่งคนพากย์ก็คือพี่ปิง(ที่พากย์เสียงโซโกะในจิโอนั่นแหละ) กับพี่ลัคกี้ ตามลำดับ
“เขาไม่ได้มาด้วยครับ”
“โห.. ลูแปงเรนเจอร์ฉายที่ประเทศไทยด้วยเหรอ?”
“ใช่ครับ ฉายทางโทรทัศน์”
คุยกันไปคุยกันมา สุดท้ายเขาก็ให้ถ่ายครับ
เมื่อขนมมาเสิร์ฟ ผมก็รีบหยิบส้อมทันที ชิฟฟ่อนเค้กราคา 500 เยน ขนาดพออิ่ม โรยน้ำตาลไอซ์ซิ่งบางๆ ที่เสิร์ฟเคียงคู่กับฟรุ๊ตสลัด และวิปครีมที่ตกแต่งด้วยช็อกโกแล็ตลายหน้ากากของลูแปงเรนเจอร์ โห… เก๋ดีอ่ะ ทันทีที่ผมบรรจงเอาส้อมจิ้มลง แล้วตักขึ้นมากินเท่านั้นแหละ โอ้โห… เนื้อเค้กนุ่มสู้สิ้น และอร่อยมากเลยนะเนี่ย ซดคู่กับโกโก้ร้อน อร่อยอย่างงี้
หลักจากเช็คบิลเสร็จ พี่ชายเจ้าของร้านก็ได้พาเราไปดูบริเวณเคาท์เตอร์ พร้อมชี้ให้ดูลายเซ็นของเหล่านักแสดง แถมพี่แกยังอำนวยความสะดวกดีมากด้วย คอยแนะนำบริเวณร้านตลอด แถมยังช่วยเราถ่ายรูปกับหน้าร้านให้ด้วย ประทับใจมากเลย ถ้าใครที่เป็นแฟนซูเปอร์เซนไท โดยเฉพาะเหล่าจอมโจรลูแปงเรนเจอร์เนี่ย บอกเลยว่าฟินแน่นอน
ในซีรีส์ลูแปงเรนเจอร์ ปะทะ แพทเรนเจอร์
สำหรับการไปเยือนร้านต่างๆ ที่ใช้เป็นโลเคชั่นในการถ่ายหนังโทคุนะครับ สิ่งที่ผมสัมผัสได้เลยก็คือ ถึงร้านเขาจะมีคอนเซปต์ มีทาร์เก็ตลูกค้าแบบไหนก็ตาม แต่ถ้าแฟนหนังโทคุมาเยือน เขาก็ต้อนรับดีนะ อย่าง senkiya งี้ เท่าที่ผมส่องใน SNS ของร้าน ตัวร้านก็จะมีความเป็นมินิมอล ทาร์เก็ตของเขาก็น่าจะจะออกแนวฮิปส์เตอร์ คนชอบอาหารออร์แกนิค หรือครอบครัวงี้ แต่พอพวกผมไป และบอกพวกเขาว่า รู้จักร้านนี้เพราะมาสค์ไรเดอร์จิโอ เขาก็มีทึ่งนะ เพราะเราเป็นคนต่างชาติใช่มะ? แถมมารู้จักที่นี่ได้เพราะหนังในประเทศเขา แต่เขาก็ดูแลเราดีนะ เอาใจสายโทคุสุดๆ มีชวนไปนั่งโต๊ะเดียวกับที่ใช้ถ่ายทำด้วย ซึ้งใจสุดๆ และถ้าใครอยากไปเยือนบ้าง ผมเรียนเชิญเลยครับ แต่ขอแค่ว่า อย่าลืมรักษามารยาทและไม่ก่อความวุ่นวายให้เจ้าของร้านไม่สบายใจกันนะครับ
(เครดิต : รีวิวแมน)
ภารกิจวันนี้ก็จบสิ้น และได้เวลากลับโตเกียวซักที แต่ก่อนจะไปถึงสถานีรถไฟนั้น พี่ม็อบกับพี่หนึ่งหยุดตีโปเกม่อนก่อน พอเสร็จปุ๊บ ตอนเดินมาถึงย่านร้านค้า ผมก็แนะนำพี่ม็อบว่า “เอ้อพี่! ถ้าพี่จะหาซื้อรองเท้าในญี่ปุ่นนะ ร้าน ABC เลยพี่ มีทุกแบรนด์” แล้วก็ชี้ป้ายร้านให้ดู
และใช่ครับ แวะดูรองเท้ากันก่อน ผมไปดูคอนเวิร์ส ราคาก็พอๆ กับไทยนะ ไม่แรงมาก ซึ่งไม่แปลก เพราะเป็นล็อตจากโรงงานจีน (ถ้ามาจากโรงงานญี่ปุ่นจะแพงกว่านี้ และผลิตจำนวนจำกัดด้วย)
หลังจากนั้นเราก็นั่งรถไฟกลับโตเกียว และมาช็อปปิ้งต่อกันที่อากิฮาบาระ ตอนแรกผมตั้งใจไว้ว่าจะมาซื้อไรด์วอชของไรเดอร์ที่ไม่ใช่ตัวหลัก ที่ขายเป็นแคนดี้ทอยกับกาชาปอง หาดูทั้งมือ 1 ตามร้านและตามตู้กด และมือสองในมันดาราเกะและอากิบะโซน ก็ไม่เจอที่ถูกใจเลย
แถมตอนเดินห้างโยดาบาชิก็ไม่รู้จะซื้ออะไร ของเล่นของเซโร่วันยังไม่ค่อยโดน(แต่จริงๆ ก็มีซื้อพร็อกไรซ์ชู๊ตติ้งวูล์ฟที่เป็นแคนดี้ทอยในเซเว่นไปแล้ว เพราะชอบความงัด**ที่ไม่ได้หมายถึง น งั ต ก ร ร ม แต่อย่างใด**ของพี่ฟูวะในเรื่อง) พอขึ้นไปยังแผนกซีดี ก็ไม่เจอซีดีเพลงที่อยากได้ นี่อยากได้ EP อัลบั้ม Voice ของแทยอน แต่ไม่มีขาย
เผื่อใครไม่รู้ พวกซีดีเพลงเคป๊อปที่นำเข้ามาจากเกาหลีมาขายในญี่ปุ่น ส่วนมากราคาจะพอกับที่ขายในเกาหลีเลย(อาจจะมีส่วนต่างนิดหน่อย) และมีหลายวงมาก ถ้าวงไหนดังนะ แทบจะเหมาพื้นที่ชั้นวางสินค้าแถวนึงเลย(เผลอๆ อาจจะสอง) ตอนนั้นเท่าที่เห็นก็มีวง BTS, Twice กับ X1 ที่มีชั้นวางสินค้าเป็นของตัวเอง
นั่นแหละครับ พอไม่รู้จะซื้ออะไร ก็กลับลงไปที่แผนกของเล่น แล้วหยิบการ์ดที่เตรียมไว้ไปเล่นกันบาไรด์ดีกว่า…
จนกระทั่งเดินๆ ไปสักพัก ผมนึกขึ้นได้ว่า ตอนไปญี่ปุ่นเมื่อต้นปี ผมไม่ได้แวะเข้าไปซื้อโฟโต้เซ็ตมือสองในอาคารเขียวข้างอากิบะโซนเลย ครั้งนี้เลยแวะไปดู ถ้าให้ผมเทียบระหว่างอาคารเขียวกับอากิบะโซน ในส่วนของแผนกโฟโต้เซ็ตไอดอล อากิบะโซนใหญ่กว่า แต่อาคารเขียวมีของแรร์มากกว่า (ผมเคยเจอรูปของมิคามิ ยูอะ สมัยยังอยู่ SKE48 ด้วยนะ) แต่เป้าหมายการซื้อโฟโต้เซ็ตครั้งนี้ของผม มีแค่ IZ*ONE เท่านั้น
ทันทีที่ผมเข้าไปปุ๊บ ผมก็ถามพี่คนขายที่เคาท์เตอร์ว่า..
“โซนรูปไอจือวอนอยู่ตรงไหนครับ?”
พี่เขาสตั๊นท์ไปห้าวิ ก่อนจะปิ๊งขึ้นมาว่า…
“อ้อ! ไอซ์วัน! ตรงนั้นอ่ะ” เขาก็ชี้ให้ดู
เผื่อใครไม่รู้ ชื่อวงเคป๊อป นอกจากชื่อเกาหลีจะแตกต่างจากชื่อสากลที่เราๆ รู้จักกันแล้ว ชื่อญี่ปุ่นยังแตกต่างจากชื่อสองแบบนี้ไปอีก อย่างที่เรารู้ๆ กัน ดงบังชินกิเขาจะเรียกกันว่าโทโฮชินกิ โซนยอนชิแดเขาจะเรียกกันว่าโซโจจิได และผมเชื่อว่าแฟนๆ เคป๊อป(รวมไปถึง WIZ*ONE)ในไทย ก็คงนิยมเรียก IZ*ONE ว่าไอจือวอนตามเกาหลีกัน แต่อย่าลืมนะครับ ถ้าจะถามหาสินค้าของวงๆ นี้ในญี่ปุ่น ให้ใช้คำว่าไอซ์วันนะครับ เขาจะได้ไม่งง
เนื่องจากว่าซิงเกิ้ลญี่ป่นของวงยังมีแค่สองซิงเกิ้ล(ซิงเกิ้ลที่สามกำลังมา) เลยมีโฟโต้เซ็ตให้เลือกไม่มาก ปกติโฟโต้เซ็ตของ IZ*ONE จะมีราคาอยู่ที่ 450-550 เยน แต่ถ้าเป็นมิยาวากิ ซากุระ จะสูงถึง 850-950 เยนทันที ผมไม่รู้นะว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะตอนต้นปี ผมซื้อโฟโต้เซ็ตซากุระที่แถมมากับซิงเกิ้ล No Way Man ของ AKB48 ราคายังแค่ 550 เองนะ แต่ครั้งนี้ผมก็ซื้อมาแค่สองใบ นั่นก็คือโฟโต้เซ็ตของอันยูจินและควานอึนบีที่แถมมากับซิงเกิ้ล Buenos Aires จริงๆ ถ้ามีเวลา อยากจะรื้อกองโฟโต้เซ็ตใบละ 100 เยนอีกซักรอบนะ
ด้านซ้ายเป็นเมนหลักในใจของผมเลย ชื่ออันยูจิน อยู่ Starship Entertainment
ส่วนด้านขวาเป็นหัวหน้าวง ชื่อควอนอึนบี อยู่ Woollim Entertainment
(ถ่ายตอนกลับบ้านแล้วนะ)
เมื่อผม พี่ปลาย และพี่หนึ่ง ไม่รู้จะซื้ออะไรแล้ว เลยมายืนรอพี่ม็อบกดตุ๊กตาหน้าร้านร้านนึง ระหว่างนั้นเจอสาวๆ กลุ่มนึง ที่ดูจากการแต่งตัวก็รู้เลยว่าเป็นไอดอล กำลังแจกใบปลิวอยู่ ผมก็เดินไปรับนะ แม้ว่าพี่ปลายจะพูดตามหลังมาว่า “แผน! ระวังโดนต้มนะเอ็ง” ก็ตาม ผมเดินกลับไปพร้อมบอกเขาว่า “อ๋อ.. พี่ เขาไม่ใช่เด็กดริ้งค์แก๊งต้มตุ๋นแบบในข่าวพี่ นางเป็นวงไอดอลเฉยๆ” พร้อมกับส่งใบปลิวที่ไม่มีรูปของพวกนางเลย นอกจากตัวอักษรที่น่าจะเป็นกำหนดการแสดงคอนเสิร์ตของพวกนาง
“ไอดอลที่ญี่ปุ่นนี่เขามีหลายแบบเหมือนบ้านเราป่ะ”
“ใช่พี่ แต่ในญี่ปุ่นนี่มีวงเยอะกว่าไทยอีก”
ผมอธิบายให้พี่ปลายฟัง
หลังจากที่พี่ม็อบเสร็จกิจในเกมเซนเตอร์ พี่ปลายเลยตัดสินใจที่จะโบกแท็กซี่กลับเรียวโกคุทันที
แต่ก่อนจะกลับที่พัก ก็แวะทานข้าวกันก่อน ซึ่งพี่ปลายบอกจะสมทบทุนค่าเนื้อย่างให้ 5,000 เยน ถ้าเกินกว่านั้น เอาส่วนต่างมาหารสาม ร้านเนื้อย่างที่กินก็อยู่แถวสถานีรถไฟเนี่ยแหละ ขึ้นชื่อว่าเป็นย่านของนักซูโม่ รับประกันได้เลยว่าอาหารแถวนี้อร่อยและคุ้มค่าคุ้มราคาแน่นอน เพราะในหนึ่งวัน นักซูโม่เขากินเยอะมากเลยนะ หม้อไฟทั้งหม้ออ่ะ ร้านอาหารแถวนี้เลยต้องซัพพอร์ตพวกเขาในระดับนึงแหละ
เนื้อย่างที่ไปกินอร่อยมากครับ แต่เสียดายที่ไม่ได้สั่งเครื่องดื่มแบบรีฟิล เพราะคิดว่า กินน้ำเยอะเดี๋ยวจะจุก กินไม่หมด แต่ดันกินเยอะเกินจนคอแห้ง น้ำแก้วเดียวเอาไม่อยู่ซะงั้น…
ได้มากินเนื้อย่างหลังจากที่ตะลอนมาทั้งวันมันเป็นอะไรที่ฟินดีนะ เนื้อย่างมันคือ The Best สำหรับการมากินข้าวกับเหล่าชายฉกรรณ์แล้ว และยิ่งเป็นเนื้อย่างญี่ปุ่นด้วยนะ โอ้โห… สุดอ่ะบอกเลย
ถึงที่พักปุ๊บ รู้สึกได้เลยว่าปวดเท้ามาก เพราะเดินหนักมาตลอดทั้งวัน พี่ปลายเลยแนะนำให้ขึ้นไปชั้น 7 ที่เป็นพื้นที่ส่วนกลาง ไปแช่เท้าได้ เป็นสปาปลา ผมก็ขึ้นไป พื้นที่ส่วนกลางของ Khaosan World Ryogoku นั้นดีเว่อร์อ่ะ มีครัวและตู้เย็นให้ทำอาหารด้วย เหมาะสำหรับแบ็คแพ็คเกอร์สายพ่อครัวหัวป่าก์จริงๆ (มีตู้เย็นให้ด้วย) ครั้งหน้าผมว่าจะจองที่นี่ และอาจจะทำอาหารกินเองเกือบทั้งทริปแม่มเลย เผลอๆ ถ่ายคลิปทำอาหารไทยกินในโฮสต์เทลญี่ปุ่นไปด้วยเลย
ในส่วนของบ่อแช่เท้านั้น ตอนผมเข้าไป รู้สึกแบบ… ไหนวะปลา? มีแต่น้ำขุ่นๆ จนกระทั่งมาเห็นป้ายข้างๆ ก็ถึงบางอ้อ เพราะว่าน้ำในบ่อจะเปลี่ยนรูปแบบไปตามวันต่างๆ อย่างวันที่พี่ๆ ทั้งสามคนเขาแช่เป็นวันพุธ ซึ่งเป็นสปาปลา วันศุกร์ที่ผมแช่นั้นจะเป็นน้ำร้อนที่มีกลิ่นของส้มยูซุแทน เอาจริงๆ ผมชอบกลิ่นส้มยูซุนะ มันดมแล้วสดชื่นดี
ผมก็แช่ไปได้สักพัก จนเท้าหายล้าอ่ะ แล้วค่อยกลับห้อง แผนการในวันถัดไปนั้น ที่แน่ๆ ก็คือ เราต้องไป Kamen Rider Diner ตอน 11 โมงครึ่ง เพราะจองร้านไว้(ซึ่งช่องทางการจองนั้น โคตรไม่น่าไว้วางใจเลยว่าจะจองได้จริงเปล่า?) และต้องเดินทางไปสนามบินเวลาบ่ายสามโมง เพื่อบินกลับกรุงเทพตอนสองทุ่มสี่สิบ แต่… เรายังไม่ได้แวะด็องกี้เลยนะ
สุดท้ายพวกเราก็สรุปกำหนดการของวันถัดไปไว้ประมาณนี้ ตื่น 7 โมงเช้า อาบน้ำแต่งตัว ออกจากที่พักไปด็องกี้ที่อาซากุสะทันที ซื้อของเสร็จ กลับที่พักมาเช็คเอาท์ และเอากระเป๋าฝากที่หน้าเคาท์เตอร์ จากนั้นก็เดินทางไปร้าน Kamen Rider Diner ตามที่จองไว้ จากนั้นก็ฟรีไทม์ในอิเคะบุคุโระยาวๆ จนบ่ายสาม และกลับมาเอากระเป๋า พร้อมออกเดินทางกลับประเทศ
ปล. มีอีกตอนนะครับ ไว้มาอ่านต่อในโอกาสถัดไปนะครับ
(เครดิต : เที่ยวกะถ่าย)
และถ้าใครอยากเห็นรูปสวยๆ นอกเหนือจากที่ผมถ่ายในทริปนี้ล่ะก็ สามารถไปส่องได้ที่เพจ “เที่ยวกะถ่าย” ได้นะครับ เป็นเพจของพี่หนึ่ง ช่างภาพจากช่องรีวิวแมนนั่นเอง ก็จะมีรูปบางส่วนเหมือนกันที่ผมขอพี่เขามาใช้ประกอบบทความนี้(และอาจจะรวมไปถึงบทความหน้าด้วย) ขอบคุณพี่หนึ่งมา ณ ที่นี้ด้วยครับ