คืนวันพุธอันแสนธรรมดาคืนหนึ่ง ในอพาร์ทเมนท์เล็กๆแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ผมไขกุญแจเข้าที่พักเหมือนเช่นทุกวันหลังกลับจากทำงาน แต่วันนี้จู่ๆ ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรเข้ามากระแทกที่ท้ายทอย และก็ค่อยๆล้มลงไป เสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนจะหมดสติคือเสียงของพี่ปลายจากช่องรีวิวแมน และเสียงของผู้ชายอีกสองสามคน พอผมฟื้นขึ้นมา ผมก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นเคย และพอเดินออกไป ก็พบว่าตัวเองได้มาอยู่โตเกียวซะแล้ว…
ล้อเล่น… เอาความจริงละกัน คืองี้ มีอยู่วันหนึ่งผมไปถ่ายงานให้กับช่องรีวิวแมน ในขณะที่นั่งรถไปสตูดิโอ พี่ปลายแกพูดถึงเรื่องว่าจะจองตั๋วไปญี่ปุ่น อยากไปเที่ยวแบบคนรักโทคุซัทสึ อยากให้ไปญี่ปุ่นด้วยกันบ่อยมากกกกกกก ชนิดที่ว่าพี่ม็อบ ซึ่งเป็นนักพากย์รุ่นน้องและทีมงานของช่องรีวิวแมน ได้บอกผมว่า
“พี่ว่าแผนเตรียมตัวเถอะ ดูทรงแล้วเขาเอาจริงแน่ๆ…”
แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะได้ไปกับเขาหรอก เพราะผมก็เพิ่งไปมาเมื่อต้นปีเอง ไม่มีเงิน และก็ยังไม่มีสิทธิ์ลาพักร้อนด้วย จนกระทั่งพี่ปลายแกยืนกรานเลยว่าจะไปจริงๆ ไปด้วยกันเนี่ยแหละ ก่อนที่โอลิมปิกปีหน้าจะเริ่มแล้วคนจะเยอะ ส่วนค่าตั๋วค่าที่พัก เขาจะออกให้ ผมนี่แบบ โว้วววววว…. ใจป้ำจังวะพี่ โอเค ผมใช้สิทธิ์ลากิจก็ได้วะ คือสิทธิ์ลากิจของบริษัทผม เขามีโควต้าให้ลากิจในแต่ละปีแบบไม่หักเงินเดือนอยู่ และปีนี้เขาไม่มายด์ว่าจะต้องลาไปทำธุระราชการ เพื่อนที่ทำงานคนอื่นก็มีใช้สิทธิ์ลากิจเพื่อไปเที่ยวเหมือนกัน ผมลาไปสองวัน พฤหัสกับศุกร์ ไม่อยากลาเยอะ เก็บโควต้าไว้ใช้กับกิจสำคัญอื่นๆ บ้าง แต่เขาเริ่มเดินทางกันวันพุธนี่สิ…
โอเค แนะนำตัวละครหลักก่อนละกัน ในทริปนี้มีกัน 4 คนครับ
- ผมเอง คนที่เขียนเรื่องราวที่คุณกำลังอ่านเนี่ยแหละ
- พี่ปลาย นักพากย์และเจ้าของช่องรีวิวแมน ปกติแฟนคลับจะเรียกเขาว่าพี่รีวิวแมน แต่ผมขอเรียกว่าพี่ปลายเฉยๆละกัน
- พี่ม็อบ บอกไปแล้วข้างบนว่าเป็นนักพากย์รุ่นน้องพี่ปลาย และหนึ่งในทีมงานช่องรีวิวแมน
- พี่หนึ่ง ทีมงานและตากล้องหลักของช่องรีวิวแมน
วันที่ 1 ของทริป
พี่ๆทั้งสามได้ออกเดินทางสู่ท่าอากาศยานนาริตะกันตั้งแต่ตีสามแล้ว แต่ผมยังคงไปทำงานตามปกติ ในฐานะที่เป็นคนจัดแผนการท่องเที่ยว ผมได้แนะนำให้พวกเขาเที่ยวที่เจเวิลด์ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ในอิเคะบุคุโระที่รวบรวมคาแร็คเตอร์ของนิตยสารการ์ตูนโชเน็นจัมป์ไว้มากมาย ทั้งดราก้อนบอล วันพีช นารุโตะ เป็นต้น และช่วงเย็นๆตามเวลาประเทศไทย พี่ปลายก็ได้ทักไลน์มาบอกผมที่กำลังพิมพ์งานอยู่ว่า “เจเวิลด์ปิดไปแล้วนะ” เมื่ออ่านข้อความจบ ผมก็อุทานในใจเลยว่า “เชี่*******ย!!” มันปิดไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?” รู้สึกเสียดายที่ยังไม่เคยไปเลย…
หลังเลิกงาน ผมก็สะพายกระเป๋าเป้ที่ตระเตรียมเสื้อผ้าและสิ่งจำเป็นสำหรับใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่น 3 วันมาจากที่หอแล้ว และเดินเข้าไปร่ำลาบอสผู้น่ารัก ก่อนจะออกเดินทางไปสนามบิน
ผมบินไฟลท์เที่ยงคืนกว่าๆ ที่สนามบินดอนเมือง เนื่องจากว่าผมต้องขึ้นรถจากบีทีเอสหมอชิตเพื่อไปยังสนามบิน ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของคนที่เยอะบรรลัยจักร ผมเลยเผื่อเวลาไว้เยอะพอสมควร แต่พอผมไปถึงก็เจอรถบัสสาย A-1 ที่สามารถพาเราขึ้นโทลเวย์ตรงดิ่งไปยังสนามบินดอนเมืองได้ทันที เลยทำให้มีเวลาเหลือเฟือจนต่อแถวเช็คอิน ตรวจเอกสารขาออก เดินหาซื้ออะไรกินที่ดิวตี้ฟรี(ที่ราคาแพงบรรลัยเลย ตอนที่พิมพ์อยู่เนี่ย ก็ถามตัวเองอยู่นะว่าทำไมไม่ไปกินฟู๊ดคอร์ทวะ?) และนั่งชาร์ตแบตโทรศัพมือถือให้เต็มแบบไม่ต้องรีบร้อนอะไรเลย ก่อนจะออกเดินทางไปยังสนามบินนาริตะด้วยสายการบินทุนต่ำแห่งหนึ่งของมาเลเซีย
วันที่ 2 ของทริป
ทันทีที่เครื่องบินขึ้นฟ้า ผมนี่หลับเป็นตายเลย จนกระทั่งเครื่องบินแลนด์ดิ้งที่สนามบินนาริตะ กัปตันเครื่องบอกว่าอุณหภูมิที่ญี่ปุ่นตอนนี้ 30 องศา ซึ่งผมว่ามันอุ่นๆนะ ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไปซะจนเริ่มคิดว่าตัวเองจะเอาเสื้อกันหนาวมาทำไมวะ? ผมเดินไปตามทางที่คุ้นเคยเพื่อผ่านตม.และศุลกากร ระหว่างที่ผมเดินไปผมก็ยังไอไม่หยุด พลางนึกในใจว่าฉิบหายแล้วไง… การมาป่วยต่อหน้าด่านตม.มันไม่ใช่เรื่องดีเลย ขืนโดนตม.เพ่งเล่งแล้ววินิจฉัยว่าเอาเชื้อโรคร้ายแรงเข้าประเทศคือถูกส่งกลับแผ่นดินแม่อย่างเดียวเลยนะ
ดีหน่อยที่ผมมีขวดน้ำจากที่ซื้อมาดื่มตั้งแต่ดิวตี้ฟรีที่ไทยแล้ว ผมเอาขวดน้ำไปกรอกน้ำดื่มที่ตู้กรองน้ำหน้าห้องน้ำ เอามาดื่มแก้คันคอเพิ่ม แต่พอผมดื่มไปสักพัก รู้สึกรสชาติมันทะแม่งๆ เหมือนน้ำผสมคลอรีนในสระว่ายน้ำ แต่จริงๆ ต่อให้ไม่ใช่น้ำที่เปิดจากตู้กรองน้ำ เราก็สามารถดื่มน้ำก๊อกจากญี่ปุ่นสดๆ ได้ แต่ผมเคยมีประสบการณ์ปวดท้องเพราะกินน้ำก๊อกไทยมาก่อน สมองเลยประมวณผลออกมาว่า “เอ็งไม่ควรกระเดือกน้ำนี่ลงไปนะ…” เท่านั้นแหละครับ
อ้วกกกกกก!!!!
ผมอ้วกขณะที่อยู่ห่างจากตม.ไม่ถึง 500 เมตร….
แต่ยังดีที่แซนด์วิชทูน่าที่ผมกินในยามดึกได้ผ่านกระเพาะอาหารผมไปหมดแล้ว สิ่งที่ออกมาจึงมีแค่น้ำที่เพิ่งดื่มลงไป และเอนไซม์จากร่างกายนิดๆหน่อยๆ แถมยังดีที่ไม่หกลงพื้น แต่มันหกใส่มือและเสื้อผมเต็มๆ!! ผมจึงรีบรุดเข้าไปล้างมือล้างเสื้อโดยพลัน ก่อนจะเดินไปกรอกเอกสารตม.
ตม.งวดนี้ผ่านฉลุย ศุลกากรก็เช่นกัน ผมก็ได้รีบตีตั๋วรถไฟเข้าเมืองโตเกียวโดยพลัน ปกติผมจะนั่งรถไฟธรรมดา เพราะราคาถูกมากเมื่อเทียบกับช่องทางอื่น แค่พันเยนนิดๆเองนะ ถ้าไม่ติดเรื่องเวลาเดินทางอ่านะ ระหว่างทาง ผมก็ติดต่อพี่ปลายและชาวคณะ ก็ได้ความว่า พี่ๆ ทั้งสามแกออกจากที่พักมาเดินเล่นที่วัดเซ็นโซจิแล้ว ถ้าผมใกล้ถึงที่พักเมื่อไหร่ให้บอกเขาอีกที เขาจะได้กลับไปเปิดประตูห้องให้ ผมก็ตกลง จนกระทั่งพอใกล้ๆ ก็ติดต่อพี่ปลายไปอีกที คราวนี้แกบอกว่า ให้มาเจอกันที่อาซากุสะเลย ผมเหวอไปนิดหน่อย แต่ก็ยังยืนกรานว่าจะเข้าที่พักก่อน เพราะผมไม่สามารถตะลอนไปไหนมาไหนทั้งวันโดยที่ต้องแบกสัมภาระน้ำหนักเกือบ 7 กิโล และสวมเสื้อที่มีกลิ่นอ้วกอ่อนๆได้หรอก พี่ปลายจึงบอกให้ผมลองขอกุญแจตรงล็อบบี้ดูละกัน
ในส่วนของที่พักที่พี่ปลายจองไว้นั้นมีชื่อว่า Khaosan World Ryugoku จากชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าอยู่ย่านเรียวโกคุ ย่านที่เต็มไปด้วยทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวข้องกับนักซูโม่ เพียงแค่เสียบบัตรออกจากระบบรถไฟฟ้า คุณก็จะได้เห็นหอเกียรติยศขนาดย่อมๆ(แต่ก็ยังใหญ่อยู่)ของนักซูโม่ ที่มีรูปนักซูโม่ขนาดใหญ่แปะไว้ด้านบน ส่วนด้านล่างนั้นจะมีสารพัดแผ่นกระดาษที่ปั๊มฝ่ามือของนักซูโม่ดังๆอยู่ในตู้กระจก ซึ่งผมก็ไม่รู้จักหรอกว่าเป็นใครบ้าง? แต่เคยลองสู้กับนักซูโม่ที่เป็นคนไทยมาแล้วตอนที่พวกเขามาออกงานในห้างแถวบ้าน ผมเกิดอยากรู้ว่ามือนักซูโม่จะใหญ่แค่ไหนเมื่อเทียบกับมือผม? เลยเดินไปเทียบดู ก็พบว่า…
มือตูใหญ่เท่าๆกับมือเขาเลยว่ะ…
จากสถานีรถไฟฟ้าเรียวโกคุเดินไปยังที่พักนั้นไม่ไกลมาก ระหว่างทางผมก็เห็นชายหนุ่มร่างบึ๊กไว้ผมทรงโบราณ แถมสวมยูกาตะเดินเต็มไปหมด เดาได้ไม่ยากเลยว่าพวกเขาต้องเป็นนักซูโม่แน่ๆ หลังจากที่ผมเดินไปสักพัก ผมก็ถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ
งงกันล่ะสิ ว่าเพราะเหตุใดถึงได้มีการนำชื่อภาษาไทยมาตั้งเป็นชื่อสถานที่แห่งนี้ ชื่อก็บอกอยู่แล้วล่ะว่า Khaosan ก็ข้าวสารบ้านเรานี่แหละ มันคงไม่ได้อ่านว่าเคาซันหรอก ตอนที่รู้ชื่อที่พักผมก็ไม่รู้หรอกว่าที่นี่มีอะไรเกี่ยวกับประเทศไทย? เจ้าของเป็นคนไทย? มีเมียเป็นคนไทย? สืบเชื้อสายจากคนไทยที่อพยพมาแต่โบราณ นี่เดาว่าเจ้าของคงชอบเที่ยวถนนข้าวสารจนติดใจและเอามาตั้งชื่อที่พักกระมัง(สันนิษฐานอะไรของเอ็งวะ??) แต่พอหลังจากค้นคว้าข้อมูล(ขณะที่กำลังพิมพ์บทความนี้แหละ..) ก็พบว่า ชื่อแบรนด์ Khaosan นั้นเป็นแบรนด์เครื่องหมายการค้าของโฮสเทลและเรียวกังในเครือของบริษัท มันเรียว จำกัด(อันนี้ภาษาญี่ปุ่นแน่นอน) ส่วนที่มาว่าทำไมถึงตั้งชื่อข้าวสารนั้น… ไม่รู้ครับ (หัวเราะ) นี่พยายามหาแล้วหาไม่เจอจริงๆ แต่คิดว่าไม่น่าเป็นเพราะเจ้าของติดใจถนนข้าวสารหรอกนะ…
เมื่อเข้าไปข้างใน ผมก็เข้าไปคุยกับพนักงานสาวเชื้อชาติฝรั่งทันที
“เอ่อ… เพื่อนผม เช็คอินเมื่อวาน และผมเพิ่งตามมาสมทบ”
“คุณใช่คนนี้หรือเปล่าคะ?”
เขาชี้ให้ดูกระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะ ซึ่งมีชื่อของชาวคณะของผมทั้งสี่คน และชื่อของผมถูกมาร์คไว้เป็นพิเศษ
“ใช่ครับ นั่นผม”
“ขอพาสปอร์ตด้วยค่ะ”
หลังจากที่ผมเช็คอิน นั่งอ่านกฎของที่นี่ และขอกุญแจอีกชุดเพื่อไขเข้าห้อง ผมก็ได้เข้าสู่ห้องพักเสียที อืม… จากร่องรอยเห็นได้ชัดเลยว่ามันเคยเป็นห้องนอนรวม 8 เตียงมาก่อน แล้วก็ถอดเตียงชั้นบนออกเหลือ 4 เตียง สามเตียงถูกจับจองไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ผมวางกระเป๋าหนักเกือบเจ็ดกิโลกรัมไว้บนเตียงเดียวในห้องที่ยังเรียบร้อย ไม่มีอะไรเลยนอกจากชุดแปรงฟัน หมอน ผ้าห่ม และเสื้อรีวิวแมน ผ้าเช็ดตัวพี่ปลายก็แย่งไปใช้อีก… เลยไปขอผ้าเช็ดตัวที่ล็อบบี้เพิ่มอีกผืน ผมเอาเสื้อผ้าออกมาวางไว้ตรงมุมเตียง ก่อนจะเข้าไปทำธุระส่วนตัว และอาบน้ำ…
เมื่ออาบเสร็จ ผมก็นัดแนะกับพี่ปลาย เรื่องจุดหมายที่เราจะไปเจอกัน ตามกำหนดการคือ เราจะไปฟูจิคิวไฮแลนด์กัน ซึ่งวิธีการไปที่ง่ายที่สุดคือ นั่งรถบัสจากสถานีที่ชินจุกุ ดังนั้น เราควรไปเจอกันที่ชินจุกุเลย เมื่อคุยกันเรียบร้อย นัดแนะอย่างดีให้มาเจอกันที่สถานีรถไฟ ผมจึงตัดสินใจเดินทางไปที่ชินจุกุทันที แต่!!
ไม่ได้ระบุว่าให้เจอกันที่สถานีรถไฟบนดินหรือใต้ดิน… คือผมเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน แล้วก็รอสามคนนั้นอยู่แถวๆนั้นแหละ แต่สามคนนั้นเขาอยู่กันที่สถานีรถไฟบนดิน นึกสภาพตอนโทรหากันนะ
ผม : ฮัลโหล?
พี่ปลาย : แผนอยู่ไหนแล้ว
ผม : สถานีรถไฟไงพี่ ตรง…*&$%^&#…อ่ะ
พี่ปลาย : เดินมาหาพี่ตรง…&^#$$%*&^$…ทีนะ
ผม : ได้ครับ ผมกำลังเดินไป…
(เดินไปได้ 1 นาทีครึ่ง)
ผม : ที่พี่อยู่มันตรงไหนวะ? ผมไม่เจอเลย
คงจะหาเจอกันหรอกนะ…
แต่พอได้ใจความอย่างที่บอกไว้ข้างต้น สุดท้าย ผมขึ้นไปรอบนดิน แล้วแชร์โลเคชั่นให้พวกเขาตามมา จบ
บริเวณที่ผมรออยู่นั้น ใกล้กับเคเอฟซี และห่างไปตรงสี่แยก จะเป็นโยชิโนยะ ถ้าพวกเขามาถึงอาจจะได้กินข้าวกันเลย ผมจำได้ว่ารอไปประมาณ 20-30 นาทีได้ ในที่สุด พี่ปลาย พี่ม็อบ และพี่หนึ่งก็มาถึง(ซักที)
เพลงมา! แต่…เรา…ก็… หา……กัน จนเจอออออ…
พอชาวคณะมารวมตัวกันอย่างสมบูรณ์ในเวลาใกล้เที่ยง ทุกคนจึงมีมติที่จะหาอะไรรับประทานก่อนจะเดินทางไปฟูจิคิวไฮแลนด์กัน และเผอิญตอนนั้นอยู่หน้าเคเอฟซีพอดีด้วย…
“เรามาถึงญี่ปุ่นทั้งที เราจะมากินเคเอฟซีไม่ได้!!”
พี่ม็อบและพี่หนึ่งประสานเสียงตรงคำว่า “ไม่ได้!!” อย่างพร้อมเพรียงกัน แต่พี่ปลายแกอยากกินโยชิโนยะ แต่มันก็เดินไกลอยู่ บวกกับต้องข้ามถนน พวกเราจึงได้ลงไปยังใต้ดิน เพื่อเดินหาร้านอาหารประทังชีวิตยามเที่ยง แต่เนื่องจากว่านี่มันเที่ยงแล้ว ร้านอาหารแทบทุกร้านในใต้ดินจึงแน่นขนัดไปด้วยมนุษย์ออฟฟิศที่ออกมากินข้าวเที่ยงกัน แต่ที่ผมอึ้งก็คือ ร้านทุกร้านที่อยู่ใต้ดินล้วนดูดีซะจน… ถ้าเป็นที่บ้านเราคงไม่มีปัญญาเข้าไปกินทุกเที่ยงหรอก สำหรับพวกเขามันก็คงเหมือนกับ ร้านป้าหลาโภชนาแหละมั้ง?
ในเมื่อทุกร้านอาหารโต๊ะเต็มหมดเลย สุดท้าย… มื้อเที่ยงก็ต้องมาจบลงที่เคเอฟซี…
ผมไม่รู้นะว่าปกติไก่ทอดเคเอฟซีมันเป็นอย่างนี้อยู่แล้วหรือเปล่า? คือทันทีที่ผมเอานิ้วหยิบไปที่ชิ้นไก่ ก็สัมผัสได้แล้วครับว่าอมน้ำมันโคตรๆเลย… นิ้วผมนี่แบบชุ่มอ่ะ ส่วนเนื้อสัมผัส ไม่กรอบเลย แต่รสชาติดีนะถ้าไม่อมน้ำมันอ่ะ แล้วในเซ็ตที่พี่ปลายสั่งมันมีไก่ไม่มีกระดูกด้วย อันนี้ยังพอโอเค เสียแต่ไม่ได้ชุบแป้งแบบบ้านเรา(ชุบกับแป้งผสมน้ำอ่ะ ไม่ใช่ชุบกับแป้งแห้งๆเหมือนบ้านเรา) แต่โดยรวมก็กลางๆ ค่อนไปทางไม่โอเค
หลังจากที่กินอิ่มแล้ว ก็ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องออกเดินทางไปฟูจิคิวไฮแลนด์ซักที ราคาตั๋วรถบัสเที่ยวละประมาณ 2,000 เยน ไป-กลับก็คนละ 4,000 เยนแล้ว ซึ่งสำหรับคนที่มีเงินติดตัวแค่สองหมื่นกว่าเยนอย่างผม บอกเลยว่าแพงมากกกก…. แต่พี่ปลายก็ช่วยออกค่ารถบัสให้ทุกคนครึ่งนึง ขอบคุณครับ
เมื่อรถบัสมาถึง ก็ได้ออกเดินทางซะที ฟูจิคิวไฮแลนด์ตั้งอยู่ในจังหวัดยามานาชิ ทางตะวันตกของโตเกียว ห่างจากชินจุกุประมาณร้อยกิโลเมตรนิดๆ นั่ง(หลับ)สองชั่วโมงแหน่ะกว่าจะถึง และเมื่อมาถึงปุ๊บ พี่ปลายก็บอกให้ผมเช็คเที่ยวรถบัสรอบสุดท้าย
อันนี้เป็นทริคในการเที่ยวญี่ปุ่น 101 เลยนะครับ ถ้าอยากไปที่ไหน? และอยากรู้ว่ารอบรถสาธารณะจากที่ๆ เราอยู่ไปยังจุดหมายมีรอบไหนบ้าง หาได้ง่ายๆ เพียงแค่ใช้ Google Maps เอาอยู่หมด แค่เสิร์ชหาตำแหน่งปลายทาง กดดูเส้นทางรถสาธารณะ เพียงเท่านี้ สารพัดทางเลือก พร้อมรอบเวลาออกรถที่ไวที่สุด(หรือจะคลิกดูรอบถัดไปก็ได้) ก็จะขึ้นมาให้คุณแล้ว
ผมก็เช็คไป รอบสุดท้าย(ไม่แน่ใจนะว่ารอบสุดท้ายของวันจริงๆ หรือรอบสุดท้ายเท่าที่ปรากฏในแอพวันนั้น)ของรถบัสกลับโตเกียวคือสองทุ่ม และมีปลายทางทั้งชินจุกุและอากิฮาบาระ พี่ปลายโอเค เดินเข้าสวนสนุกกันอย่างสบายใจ
ถึงภารกิจหลักของวันนี้จะอยู่กันที่ฟูจิคิวไฮแลนด์ก็เถอะ แต่เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวอันใดเลย ที่ชาวคณะมาที่นี่นั้น เพราะมีอีเวนท์ของเรื่องนารูโตะพอดี โดยเขาจะจำลองหมู่บ้านโคโนฮะขนาดย่อมๆ ไว้ในสวนสนุก แถมเข้าฟรีด้วยนะครับ แต่ก็ต้องผ่านช่องตรวจตั๋ว ซึ่งพวกเราสี่คนไม่ได้จะเล่นเครื่องเล่นอันใดเลย ซึ่งเขาจะให้ตั๋วคิวอาร์โค้ดไว้สำหรับเข้า-ออกสวนสนุกอย่างเดียว
หลังจากที่เราเดินฝ่าสารพัดดงเครื่องเล่นสุดโหดมากมาย แถมแต่ละอย่างมีคนต่อแถวรอเกือบ 500 เมตร กะจะสายตาเอา บวกกับเสียงกรีดร้องที่สนั่นหวั่นไหวจากฟากฟ้า(รู้สึกดีที่พี่ปลายไม่ได้ลากมาที่นี่เพื่อเล่นเครื่องเล่น) ในที่สุด ก็ถึงโซนอีเวนท์นารูโตะ ทันทีที่เข้าไปข้างใน โอ้โห! เหมือนยกหมู่บ้านโคโนฮะมาไว้ที่นี่ ภายในโซนนี้จะมีทั้งร้านขายของที่ระลึก ซุ้มเกม นิทรรศการ ไปจนถึงร้านราเม็งแบบในการ์ตูนก็ยังมี แถมยังมีโมเดลขนาด 1:1 ของตัวละครต่างๆ ตั้งอยู่รอบๆ งานเต็มไปหมดเลย ผมไม่ได้อินกับนารูโตะเท่าไหร่ แต่ผมก็มีดูมีอ่านบ้าง เออ ก็เจ๋งดีนะ
หลักๆ ที่พี่ปลายกับพี่หนึ่งจะถ่ายคลิปก็คือ… ทั้งหมดตามที่ว่ามาตอนต้นเลย แต่จะมีนิทรรศการที่ต้องเข้าไปด้วยกันทุกคน ซึ่งก็ต้องซื้อตั๋ว และแน่นอน พี่ปลายออกให้หมด (ปรบมือ!!)
ภายในตัวนิทรรศการจะมีห้องที่จำลองฉากในเรื่อง พร้อมกับมีระบบสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อถ่ายรูปตัวเองในห้องโดยอัตโนมัติ และไปรับที่ทางออก โดยจะมีสองห้องคือ ห้องทำงานของโฮคาเงะ และ บัลลังก์ตระกูลอุจิวะ ซึ่งถ่ายได้ทั้งสองห้อง แต่เวลาไปรับรูป รับได้แค่รูปเดียว (กำ…) แต่กล้องที่ทางนิทรรศการติดตั้งมันดันอยู่บนเพดานเนี่ยดิ ภาพที่ได้เลยแบบ เบิร์ดอายวิวมาเลย… และก็จะมีฉาย VTR ฉากสำคัญต่างๆ ที่ทำใหม่ให้ดูในนี้แบบเต็มอรรถรส ไม่ว่าจะเป็นฉากที่นารูโตะคุยกับเก้าหาง ฉากที่นารูโตะกับซาสึเกะสู้กันครั้งสุดท้าย เป็นต้น แถมยังมีหุ่นจำลอง และโซนจัดแสดงประมวลตัวละครต่างๆ ที่ปรากฏในเรื่อง โดยแบ่งเป็นฝั่งๆ ไป โดยรวมแล้วคุ้มค่าดี เพราะไม่ใช่คนออกเงิน (หัวเราะ)
หลังจากออกมาจากนิทรรศการ พี่ๆ สามคนก็ไปเล่นซุ้มเกมกันต่อ ส่วนผมไม่รู้จะทำอะไรแล้ว เลยไปนั่งรอที่ม้านั่ง เฝ้าของให้พี่ๆ โดยมีคาคาชินั่งกดมือถืออยู่ข้างๆ พอมีสาวๆ เดินเข้ามาหาเท่านั้นแหละ ลุกขึ้นให้ถ่ายรูปเลย
เย็นแล้ว ทั้งเวลาและอากาศ ผมนั่งรอพี่ๆ ไปได้ซักประมาณครึ่งหรือหนึ่งชั่วโมงเนี่ยแหละ ก่อนที่ทั้งสามคนจะเดินกลับมา เพื่อเตรียมไปรับประทานมื้อเย็นกัน ที่ร้านอิจิราคุราเม็งเนี่ยแหละ
ภายในร้านจะมีที่นั่งสองแบบ เป็นบาร์กับโต๊ะ เรานั่งกันตรงบาร์ เพราะมีหุ่นของฮินาตะนั่งกินราเม็งอยู่มุมซ้ายสุด และพนักงานจะเว้นเก้าอี้ข้างๆ นางไว้ไม่ให้ลูกค้านั่ง ส่วนการสั่งอาหารก็กดจ่ายเงินจากตู้ และยื่นให้พนักงาน ผมสั่งราเม็งแบบปกติไป รสชาติดีเลยทีเดียว แต่เสียตรงที่ว่าเส้นมันเย็นไปหน่อย ยังลวกไม่ได้ที่นะ…
หลังจากอิ่มท้อง ฟ้าก็เริ่มมืด ก็ได้เวลาเดินทางกลับโตเกียวซักที ซึ่งตอนแรกผมวางแผนให้ว่าหลังกลับจากฟูจิคิวไฮแลนด์ จะไปต่อกันที่ร้านบาร์อาชาสวรรค์ของฮามุระ เอย์ หรือเท็นมะเรนเจอร์ จากไดเรนเจอร์ แต่ก็ล้มเลิกโครงการไป และไปอากิฮาบาระแทน ผมก็ตกลง ไปอากิฮาบาระแทนก็ได้
เอ้อ! จำได้มั้ยที่ผมบอกว่า ก่อนจะลงจากรถตอนถึงที่นี่ ผมเช็คตารางรถบัสแล้วว่ารอบรถมีถึงสองทุ่ม แต่… พอผมเดินกลับไปที่เดิมที่พวกผมลงรถเท่านั้นแหละ…
คนโคตรเยอะเลย…
แต่ผมกับพี่ปลายก็ได้ฝ่าดงมวลมหาคนมหาศาล เพื่อเข้าไปที่เคาท์เตอร์จำหน่ายตั๋วได้สำเร็จ ก่อนจะพบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน!!
(ใครเคยดูรายการ “ขำกลิ้งลิงกับหมา” จะเก็ตมุกนี้…)
ทันทีที่พวกผมขอซื้อตั๋วเท่านั้นแหละ…
“ตั๋วหมดแล้วค่ะ” พนักงานกล่าว
หา… (ผมคิดในใจ และเชื่อว่าพี่ปลายก็คงคิดเหมือนกัน)
“ทั้งชินจุกุและอากิบะเลยเหรอครับ?” ผมถาม
“หมดทั้งสองที่เลยค่ะ”
รถบัสยังมีรอบตามที่ผมเช็คไม่มีผิดเพี้ยน แต่ตั๋วขายหมดเกลี้ยงทุกรอบแล้ว!!
ในใจผมคิดต่อทันทีเลยว่า “ฉิบหายแล้วไง..” แต่พี่พนักงานได้แนะนำให้เรานั่งรถไฟกลับโตเกียวแทน ซึ่งสถานีรถไฟจะอยู่อีกฟากนึงของสวนสนุก
เออ… ไหนๆ มันก็เป็นทางเลือกสุดท้ายแล้วอ่านะ ถ้าไม่อยากนอนนี่ก็ต้องนั่งรถไฟกลับแหละ
ผมกับพี่ปลายเดินฝ่าผู้คนออกไปเพื่อแจ้งข่าวร้ายนี้ให้พี่ม็อบกับพี่หนึ่งทราบ จากนั้นเราก็ไม่รอช้า รีบเดินกลับเข้าไปในสวนสนุกอีกครั้ง ผ่านทางเดิมที่เดินเข้ามาเมื่อตอนบ่ายเลย แต่ต้องเดินเลยโซนนารูโตะไปอีก เดินไปจนสุดสวนสนุกอ่ะกว่าจะถึงสถานีรถไฟ
ในสถานีจะมีแผนที่ทางรถไฟพร้อมราคา ซึ่งถ้าจะไปอากิฮาบาระ สามารถซื้อตั๋วเต็มราคาจากที่นี่ได้ในราคา 2,570 เยน ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะพี่ปลายเป็นคนออก แต่เส้นทางมันชวนงงซะเหลือเกิน นั่งจากนี่ยาวๆ ไปจนถึงสถานีโอสึกิ จากนั้นเปลี่ยนขบวนที่… เอ่อ… ให้ภาพที่ผมถ่ายมาเล่าละกัน
รอรถไฟไปประมาณ 10-20 นาที ในที่สุดก็มา และดันเป็นสถานีที่มีชานชาลาเดียวด้วยนะ ต้องดูให้ดีอ่ะว่าขึ้นถูกขบวนเปล่า? สำหรับรถไฟในสายต่างจังหวัด มันก็จะเก่าๆ ชวนให้บรรยากาศทะมึนอยู่เหมือนกัน ประมาณน้องๆ รถไฟชั้นสามของไทยได้อ่ะ(แต่สะอาดกว่าเยอะ) และผู้โดยสารบนรถไฟก็ค่อยๆ เยอะขึ้น เยอะขึ้นไม่เท่าไหร่ แต่ระยะห่างระหว่างสถานีโคตรไกลเลย และต้องนั่งไปยาวๆ ถึง 16 สถานีเลยนะกว่าจะถึงสถานีโอซึกิ ที่ยังแค่ครึ่งทางเท่านั้น งานหยาบยิ่งกว่านั้นก็คือ บนรถไฟมีแผนที่เส้นทางรถไฟนะ เป็นภาพปกติเลย แต่ไม่มีภาษาอังกฤษ เสียงประกาศ… ลืมแล้วว่ามีภาษาอังกฤษหรือเปล่า? แต่ดีที่ผมถ่ายรูปแผนที่ตรงสถานีฟูจิคิวไว้เพื่อดูเส้นทางอยู่แล้ว และก็ดันไม่ดีตรงที่ว่า พอทุกคนก้นถึงที่นั่งปุ๊บ ต่างพากันอยากเฝ้าพระอินทร์กันถ้วนหน้า แต่เหมือนจะเป็นพี่ปลายหรือพี่หนึ่งเนี่ยแหละ ที่อาสาคอยฟังว่าถึงสถานีไหนแล้ว…
กว่าจะถึงอากิฮาบาระมันต้องเปลี่ยนรถหลายต่ออยู่เหมือนกันนะ แต่จำได้ว่ามีต่อนึง(จำไม่ได้แล้วว่าเปลี่ยนรถที่สถานีไหน) ชาวคณะทุกคนเข้าไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำก่อนจะเดินไปรอรถไฟ ที่จะเข้าชานชาลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมง แต่สิบนาทีสุดท้ายก่อนมันจะมา ก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้นอีกจนได้!!
(ถ้าคุณมิยาซาว่าแอบดูเราอยู่คงรู้สึกปวดกบาลมากแน่ๆ… และเช่นเคยครับ ใครเคยดูรายการขำกลิ้งลิงกับหมาจะเก็ตมุกนี้)
พี่หนึ่งทำตั๋วรถไฟหาย…
ตอนนั้นแบบ… ลนลานกันมาก พี่หนึ่งพยายามค้นตัวเองก็แล้ว กลับไปหาที่ห้องน้ำก็แล้ว ถามนายสถานีก็แล้ว ก็ไม่พบวี่แววอะไรเลย และรถไฟก็จะมาแล้วด้วย ตายโหง ทำไงดีๆๆ
สุดท้าย รถไฟขบวนนั้นก็จากไป พร้อมกับเงินพี่หนึ่งจำนวนหนึ่งที่ต้องซื้อตั๋วใหม่…
แต่หลังจากที่วุ่นวายชุลมุนอยู่บนทางรถไฟเป็นเวลานานแสนนาน สุดท้ายก็ถึงอากิฮาบาระในเวลา 4 ทุ่มกว่า
พอมาถึง ผมก็ขอแยกกับพี่ๆ ทั้งสามเพื่อไปทำธุระส่วนตัว และก็กลับมาเจอกันในห้องพักอีกที พอผมเข้าไปถึงปุ๊บ พี่ๆ ทั้งสามก็กำลังเซ็ตห้องเตรียมถ่ายคลิปรีวิวของที่ซื้อมาในช่วงสองวันนี้ ผมก็ไปออกกล้องด้วย
หลังทุกอย่างเสร็จสิ้น ก่อนเข้านอนก็ประชุมกันครับ เพราะว่าวันนี้เราเจอแต่เรื่องไม่คาดฝันที่หนักหน่วงเอามากๆ บวกกับวันพรุ่งนี้ต้องไปหลายที่มากๆ เวลาเดินทางจึงต้องเป๊ะ และเราจะใช้เวลาอยู่กับแต่ละที่ราวๆ 1 ชั่วโมง ซึ่งก็เหลือแหล่แล้วล่ะ
หมดไปแล้วหนึ่งวัน (แต่สำหรับพวกเขาสามคนคือสองวัน) สำหรับใครที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ ผมอยากจะบอกเหลือเกินว่า “ขอบคุณครับ” เพราะมันปาเข้าไป 4,000 คำแล้ว ทริปนี้ยังมีอีกสองวันนะครับ ยังไงก็รออ่านกันด้วยนะครับ
และอีกอย่างนะครับ อันนี้เป็นอุทาหรณ์นะครับ สำหรับคนที่เดินทางไปเที่ยวสถานที่ที่คนมาเยอะๆ นะครับ แนะนำให้ซื้อตั๋วเดินทางทั้งไปและกลับล่วงหน้าเลยจะดีกว่านะครับ จะได้ไม่เป็นแบบพวกเราไงครับ
(ปล. ส่วนเรื่องตั๋วรถไฟที่หายไป พี่หนึ่งเจอมันแล้วนะครับ อยู่ในกระเป๋าตังค์เนี่ยแหละ แต่ดันมาเจอตอนถึงห้องแล้ว…)