นอนโรงแรมดีที่สุดแล้วครับ…
…….
หา… ต้องเลือกระหว่างโรงแรมแคปซูลกับโฮสเทล? โอเคๆ สำหรับคนที่อยากไปญี่ปุ่น แต่ต้องไปคนเดียว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ว่าอยากอยู่กับตัวเอง อยากหาประสบการณ์ อยากไปที่อโคจรแต่เกรงใจถ้าต้องให้ครอบครัวมาด้วย ไปจนถึง ไม่มีเพื่อน เพื่อนไม่คบ หรือเพื่อนทิ้งไม่ยอมมากับเรานะครับ เอาเป็นว่าไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตามที่ทำให้เราต้องมาเผชิญความครึกครื้นในตัวเมืองของแดนอาทิตย์อุทัยคนเดียว ถ้าต้องนอนโรงแรมคนเดียว บางคนก็อาจจะรู้สึกสบายดี แต่ก็มีบางคนที่คิดว่า การต้องจองห้องพักโรงแรมเพื่อนอนคนเดียวมันเป็นอะไรที่สิ้นเปลืองจัง แถมยังรู้สึกเหงาๆอีกต่างหาก เพราะอย่างนี้ ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจึงมีที่พักสำหรับคนที่มาคนเดียว มีพื้นที่ใช้สอยให้ซุกหัวนอนเพียงพอสำหรับคนหนึ่งคนก็พอแล้ว(ไม่ต้องถึงขั้นไปขอนอนวัดหรือไปนอนข้างถนนหรอก….) คอยให้บริการอยู่ ซึ่งญี่ปุ่นจะมีอยู่สองแบบที่เห็นชัดๆคือ โรงแรมแคปซูล(Capsule Hotel) กับโฮสเทล(Hostel) ครับ
แน่นอนว่าสถานที่พักทั้งสองแบบนี้มันเหมือนกันตรงที่ว่า เราจะมีอาณาเขตที่เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเราเพียงแค่ฟูก 2-3 ฟุต ท่ามกลางฟูกอื่นๆที่อยู่รายล้อมเท่านั้น และนอกนั้นคือพื้นที่ส่วนรวมหมด
และถ้าถามว่า โรงแรมแคปซูลกับโฮสเทลต่างกันอย่างไร? แล้วถ้าจะไปญี่ปุ่นควรนอนแบบไหนดีกว่า? ในฐานะที่ผมไปนอนมาแล้วทั้งสองแบบ ผมจะเปรียบเทียบเป็นหมัดต่อหมัดเลย โดยการเปรียบเทียบนี้ผมจะอ้างอิงจากโรงแรมแคปซูลกับโฮสเทลที่ผมเคยไปนอนนะครับ ซึ่งที่อื่นอาจจะดีกว่านี้ ไม่ก็แย่กว่านี้ ก็เอาไว้ประกอบการตัดสินใจก็แล้วกันนะครับ ในส่วนของโรงแรมแคปซูล ผมจะอิงจาก Sauna Capsule Hotel Dandy ที่อุเอโนะ ส่วนของโฮสเทล ผมจะอิงจาก EAST57 ที่อาซากุสะ ซึ่งสองย่านนี้ขึ้นชื่อในเรื่องที่พักที่ถูกอยู่แล้ว…
เริ่มจาก ราคาต่อคืนก่อนละกัน
นี่เป็นราคาที่ผมเช็คจากแอพลิเคชั่นจองตั๋วจองที่พักเจ้าหนึ่งที่มีโลโก้เป็นพื้นหลังสีฟ้าและนกสีขาว เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ปี 2019 เวลา 5 ทุ่มกว่าๆ สมมติว่าผมจะเช็คอินในคืนวันที่ 1 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน(ถ้าถามว่าทำไมต้องเป็นวันนี้ อ่อ… วันเกิดคามิโอชิผมเองครับ) จะพบว่า…
ส่วนของโรงแรมแคปซูลนั้น เอ่อ… คือโรงแรมแคปซูลที่ผมเคยนอนไปนั้นโดนถอดออกจากแอพไปแล้วครับ (อ้าว…) แต่จำได้ว่าตอนจองครั้งล่าสุด มันแพงกว่าโฮสเทลที่ผมเลือกราวๆ 50-60 บาท
ส่วนของโฮสเทลนั้น ราคาจะอยู่ที่คืนละ 637 บาท พูดง่ายๆก็คือ ต่อคืนไม่เกิน 1,000 บาทแน่นอน(แต่ก็มีบางที่ที่เกินนะจ๊ะ)
ต่อมา เรื่องของการเดินทาง และจุดสังเกตเมื่อมาจากข้างนอก
ทั้งสองที่อยู่แถวสถานีรถไฟครับ และสามารถนั่งรถไฟจากสนามบินนาริตะมาได้ แต่ถ้าเป็นอุเอโนะจะสะดวกหน่อย นั่นสายสีน้ำเงินยาวๆจนสุดสาย ส่วนอาซากุสะ ก็อาจจะงงนิดหน่อย เพราะต้องมีเปลี่ยนสาย นู่นนี่นั่น
ส่วนของโรงแรมแคปซูล นี่เดินมาจากสถานีรถไฟอุเอโนะถึงที่พักราวๆ 2-3 นาที หน้าที่พักอยู่ติดถนนใหญ่ก็จริง แต่จุดสังเกตที่บ่งบอกว่ามีโรงแรมแคปซูลที่นี่นะ ไม่มีเลย โดยอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของที่พักนั้น ข้างล่างมีโรงปาจิงโกะขนาดย่อมๆตั้งอยู่ประมาณ 6 ตู้ และทางเข้าก็จะดูเรโทรหน่อยๆ บรรยากาศมันเหมือนที่ๆยากูซ่าเขาอยู่กันอ่ะ ถ้าผมยืนงงๆอยู่แล้วจู่ๆมีพี่ชายใส่สูทไว้หนวดไว้เคราเดินมานี่ ผมวิ่งเลยนะ
ส่วนของโฮสเทลนั้น เดินจากสถานีรถไฟอาซากุสะบาชิหนึ่งนาทีก็ถึงแล้ว(แต่มีครั้งนึงผมลงสถานีอาซากุสะเฉยๆ ซึ่งมันอีกสองสถานีถึงจะเป็นอาซากุสะบาชิ ผมเลยต้องเดินเท้าเป็นระยะทาง 2 กิโลเมตร หรือราวๆครึ่งชม. เพื่อกลับไปนอน โคตรทรมาน โคตรหว่าเว้ แต่จะบอกว่าเส้นทางที่เดิน มันผ่านตึกบริษัทบันไดนะครับ) เดินเข้าซอยไม่ลึกมาก จะเจอหน้าโฮสเทลที่มีป้ายชื่อโดดเด่นเป็นสง่าพร้อมกับบรรยากาศแบบที่เห็นในแอพจองที่พักแหละ
ล็อบบี้เช็คอิน
ส่วนของโรงแรมแคปซูล ผมต้องขึ้นลิฟท์ที่น่าจะอายุน้อยกว่าแม่ผมไม่เท่าไหร่ เพื่อขึ้นไปที่ชั้น 6 แต่พอขึ้นมาถึงปุ๊บ โอ้โห… ตัวล็อบบี้ดูดีมาก ถึงจะไม่ได้หรูขนาดนั้นแต่มันก็เป็นที่ๆอยู่แล้วสบายใจอ่ะ แถมได้ฟีลย้อนยุคด้วย และตอนเช็คอิน น้องพนักงานคนสวยก็จะถามผมว่าเคยใช้บริการโรงแรมแคปซูลหรือเปล่า? ผมก็ตอนไปว่าไม่เคยครับ และยิ่งผมเป็นไกจิน(ชาวต่างชาติ)ด้วย นางก็เลยหยิบเอกสารมาให้ผมอ่านก่อนรับกุญแจ ซึ่งเป็นกฎระเบียบในการใช้บริการจำนวนสองหน้ากระดาษเต็ม ซึ่งผมก็พยายามจำกฎที่มันสำคัญจริงๆอย่าง “แจ้งที่ล็อบบี้ทุกครั้งเวลาจะออกไปไหน” ก็คือก่อนออกจากที่พักคุณต้องฝากกุญแจไว้กับเขา และเขาจะให้บัตรกระดาษมา เมื่อกลับเข้ามาพักก็แค่ยื่นบัตรกระดาษให้เขาเพื่อรับกุญแจนั่นเอง
ส่วนของโฮสเทลนั้น ล็อบบี้เช็คอินเป็นแค่เคาท์เตอร์เล็กๆในร้านกาแฟ ความน่ารักของน้องพนักงานก็พอๆกัน ไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก แค่เตียงที่ผมจะได้เข้าไปนอนนั้นอยู่อีกตึกหนึ่ง นางก็ถามผมว่า ไปถูกไหมคะ? แต่ผมก็ได้แต่ยืนงงแบบไม่ได้สติ จนนางถามว่า ให้ไปส่งมั้ยคะ? สติผมก็กลับมาทันทีพร้อบกับตอบว่า ได้ครับ (ผู้อ่าน : แหมมมมมมม….) ระหว่างทางที่นางพาผมไปที่ตึกที่จะได้พัก ผมก็ชวนนางคุยไปเรื่อยๆ แต่พอมาพิมพ์ตอนนี้ก็แอบรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ขอไลน์ไว้เลย….
กุญแจ
ส่วนของโรงแรมแคปซูล กุญแจที่ได้มาไม่มีผลต่อการเข้ามาในที่พักเลย พอเราออกไปเที่ยวเสร็จ กลับมาก็เอาบัตรกระดาษที่เขาออกให้มายื่นเพื่อรับกุญแจ ซึ่งกุญแจที่ว่านี้ใช้สำหรับไขตู้ล็อคเกอร์เท่านั้น และกุญแจก็มาในรูปแบบของสายรัดข้อมือที่สามารถสวมขณะอาบน้ำได้(เฮ้ย! ผมชอบนะ อยากให้กุญแจล็อคเกอร์เป็นงี้ทุกโฮสเทลด้วย หมดกังวลเรื่องเก็บกุญแจเลย)แถมยังมาพร้อมกับฟังก์ชั่นเตือนความจำด้วยว่าเรานอนแคปซูลไหน(มันมีเลขบอกบนสายรัดก็บอกไปดีๆเซ่!!)
ส่วนของโฮสเทล กุญแจที่ได้จะเป็นคีย์การ์ด และมีผลต่อการเข้ามาในที่พักเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเข้าตึกในช่วงหลังสี่ทุ่มเป็นต้นไป หรือขึ้นลิฟท์ไปที่เตียงหรือห้องอาบน้ำ ก็ต้องสแกนบัตร ไม่งั้นกดลิฟท์ไม่ได้เลย และการ์ดที่ได้มาคือการ์ดเปล่าๆโล่งๆ ไม่มีอะไรห้อยต่อท้ายทั้งสิ้น มันเลยทำให้ผมชอบลืมคีย์การ์ดไว้ในห้องอาบน้ำอยู่บ่อยๆ
ข้อจำกัดในการเข้าพัก
ส่วนของโรงแรมแคปซูล จะเข้าพักได้แค่ผู้ชายเท่านั้น(แต่เห็นว่ามีบางที่ที่เข้าพักได้แค่ผู้หญิงเหมือนกัน) และต้องไม่มีรอยสัก และถ้าถามว่าทำไม? เชื่อว่าหลายคนทราบดี แต่ถ้าไม่ เดี๋ยวผมจะบอกในย่อหน้าถัดไป
ส่วนของโฮสเทล จะชายหรือหญิง หรือจะสักเต็มตัว ก็เข้าพักได้หมดครับ
ที่นอน
ส่วนของโรงแรมแคปซูล ก็จะเป็นแคปซูลเรียงกันเป็นตับ และมีสองชั้น จากการคาดเดาด้วยสายตาคิดว่าทั้งชั้นน่าจะมีซัก 20-30 แคปซูลได้ ส่วนภายในแคปซูลนั้นกว้างกว่าโลงศพเยอะครับ ไม่ต้องห่วงว่าคุณจะลุกขึ้นนั่งในแคปซูลไม่ได้ ข้างในมีไฟดวงเล็กๆ มีปลั๊กไฟ มีโทรทัศน์พร้อมรีโมท และมีม่านไม้ไผ่บางๆปิดตรงทางเข้าแคปซูล เอ้อ พูดถึงทีวี มีช่องฟรีทีวีให้ดูปกติ แต่ที่ผมไม่เข้าใจเลยก็คือ ทำไมต้องมีช่องหนังโป๊ด้วยวะ? แล้วก็ไม่ได้มีช่องเดียวด้วยนะ…. คือช่องพวกนี้มันจะเล่นหนังโป๊แบบยาวๆต่อเนื่องกันเลย แต่… ดูแล้วให้ได้อะไร? ดูในแคปซูล จะทำอะไรก็ทำไม่ได้ โห่… (แต่มันก็มีคนเปิดดูจริงๆนะ) อีกอย่างคือ ก่อนเที่ยง คุณต้องเอาข้าวของส่วนตัวทั้งหมดออกไปจากตัวแคปซูล เพราะแม่บ้านจะมาเปลี่ยนผ้าปูที่นอน เปลี่ยนปลอกหมอนให้ในช่วงเวลานี้ทุกครั้ง
ส่วนของโฮสเทล ก็จะเป็นเตียงแบบสองชั้น ซึ่งทั้งชั้นจะมีราวๆ 20 เตียง พื้นที่ภายในเตียงกว้างมากครับ มีไฟดวงเล็กๆ มีปลั๊กไฟ มีตู้ล็อคเกอร์เล็กๆ มีผ้าม่านกันแสงอย่างดี แต่ไม่มีทีวี ต้องไปดูที่ชั้นล่าง ซึ่งถ้าทริปไหนไม่ได้อยู่วันอาทิตย์ก็จะเลือกนอนโฮสเทลเนี่ยแหละ แต่สิ่งที่แตกต่างกับโรงแรมแคปซูลชนิดที่ว่าเป็นหยินกับหยางเลยก็คือ ก่อนเช็คเอาท์ คุณจะต้องถอดผ้าปูที่นอน ถอดปลอกหมอนมาใส่ตะกร้า ซึ่งแน่นอนว่า ไม่มีใครมาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้คุณแน่นอน คุณจะนอนอยู่แต่บนเตียงตลอดทั้งทริปก็ย่อมทำได้
ล็อคเกอร์เก็บของ
ส่วนของโรงแรมแคปซูล ล็อคเกอร์จะเป็นทรงสูงเท่ากับความสูงของมนุษย์เรียงกันเป็นตับๆ แต่มันแคบมาก น่าจะเกือบๆ 1 ฟุตได้ ข้างในมีไม้แขวนเสื้อให้ตัวนึง อาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่ซื้อของฝากเป็นบ้าเป็นหลังเท่าไหร่ เพราะมันแคบมาก คือมันมีไว้แค่สำหรับแขวนเสื้อผ้าและเก็บของเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ผมจำได้เลยว่าตอนเก็บของ ผมต้องวางของซ้อนกับเป็นชั้นๆ จนเต็มอณูล็อคเกอร์อ่ะ แต่ดีตรงที่ว่า มันมีชั้นกันด้านบน เหมาะสำหรับเก็บกระเป๋าสตางค์ พาสปอร์ต และโทรศัพท์มือถือมาก
ส่วนของโฮสเทล มันจะมีล็อคเกอร์เล็กๆอยู่ภายในเขตเตียง ซี่งมีขนาดที่กะทัดรัดมาก ชนิดที่ว่าแค่ใส่กล้องถ่ายรูปมันก็เต็มแล้ว และล็อคเกอร์ก็ใช้ระบบล็อคแบบหมุนรหัส โดยมีป้ายแนะนำวิธีการใช้ติดอยู่ที่ข้างๆตู้ พยายามอย่าลืมรหัสละกัน ไม่งั้นงานเข้าแน่ๆ….
ห้องสุขา
ส่วนของโรงแรมแคปซูล ห้องสุขาจะอยู่อีกฟากของโซนแคปซูล และถึงแม้ว่าในตัวเมืองญี่ปุ่นจะมีระบบชำระล้างแบบอัตโนมัติซะเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับที่นี่ โรงแรมแคปซูลที่ต้องขึ้นลิฟท์โบราณ ที่ๆอะไรหลายอย่างยังคงความคลาสสิคอยู่เสมอ และแน่นอนว่าห้องสุขาก็เช่นกัน จำได้ว่าครั้งนึงผมเข้าไปถ่ายธุระหนักโดยไม่ได้คิดอะไร พอถึงเวลาที่มันต้องล้างเท่านั้นแหละ งานเข้าละ ไม่มีปุ่มกดล้าง!! มีแต่กระดาษชำระ…. สุดท้ายผมก็ต้องเอามันมาเช็ดอย่างจำใจ(โคตรเกลียดการที่ต้องเอากระดาษชำระมาเช็ดมากอ่ะ มันไม่สะอาดเหมือนล้างด้วยน้ำอ่ะ….) จากการสำรวจห้องสุขาในชั้น พบว่ายังมีห้องสุขาแบบนั่งยองด้วย อห.(ย่อมาจากอะไรเดาเอาเอง) แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่มีห้องสุขาแบบชำระล้างอัตโนมัติอยู่…. ตั้งห้องนึงแหน่ะ
ส่วนของโฮสเทล ห้องสุขาทุกห้องเป็นระบบชำระล้างอัตโนมัติหมด แถมยังมีระบบไฟเปิด-ปิดอัตโนมัติอีก และก็ไม่ได้มีแค่ในชั้นนอนอย่างเดียว ยังมีในชั้นห้องอาบน้ำอีก แต่จะเข้าที่ไหนก็อุ่นใจ สบายหายห่วงแน่นอน
ผ้าเช็ดตัว
ในส่วนของโรงแรมแคปซูล เขาจะให้ผ้าเช็ดตัวและเสื้อคลุมแบบญี่ปุ่นตรงเคาท์เตอร์เช็คอิน ถ้าใช้เสร็จแล้วอยากเปลี่ยนใหม่ก็แค่เอาใส่ตะกร้าที่เขาจัดไว้ให้แถวแคปซูล(ผ้าเช็ดตัวกับเสื้อคลุมนี่ใส่แยกกันนะครับ) แล้วไปขอใหม่ที่เคาท์เตอร์ได้เลย
ในส่วนของโฮสเทล ผ้าเช็ดตัวจะถูกวางไว้ตรงที่นอนอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าเปลี่ยนได้ไหมเพราะว่าตอนนั้นผมใช้ผืนเดียวตลอดทั้งทริป แต่น่าจะเปลี่ยนได้แหละ เพียงแค่ไปบอกที่เคาท์เตอร์เช็คอิน
ห้องอาบน้ำ
ทั้งสองที่เหมือนกันหมดครับ โซนห้องอาบน้ำจะอยู่ชั้นบนสุดของอาคาร ซึ่งต้องขึ้นลิฟท์ไปครับ
ในส่วนของโรงแรมแคปซูล มันจะมีเพลงซาวน์แทร็คบรรเลงเพลงเดียวตลอดเวลาที่ผมอยู่ในบริเวณห้องอาบน้ำ ฟังตลอด 6-7 วันที่มาเที่ยวชนิดที่ว่าจำได้แม่นเลยว่าทำนองมีจังหวะแบบไหน และก็เรื่องกลิ่น มันจะกลิ่นอโรม่าแบบแปลกๆ ที่เราไม่เคยได้กลิ่นจากไหนเลย มันอธิบายยากมากว่าหอมเหมือนกับอะไร เพราะไม่ใช่เซียนน้ำหอม แต่กลิ่นมันดมแล้วโล่งๆเย็นๆในหัว จำได้ว่าหลังจากกลับไทยมาหลายเดือน ผมก็เจอน้ำหอมกลิ่นคล้ายๆแบบนี้วางขายอยู่ที่ร้านขายสินค้าญี่ปุ่นราคาถูกเจ้านึง พอผมไปถึงหน้าห้องอาบน้ำ ผมก็เห็นว่ามันมีชั้นวางของ ซี่งเขามักจะวางผ้าเช็ดตัวกับเสื้อคลุมกัน ผมเลยถอดเสื้อคลุมวางไว้ในชั้น และย่างกรายเข้าไปในอาณาเขตห้องอาบน้ำเท่านั้นแหละ!!
เชี่***************************!!!!!!!!!!
มันคือห้องอาบน้ำรวมครับ ใครเคยดูหนังญี่ปุ่นแนวคลาสสิคหน่อยๆจะคุ้นกับห้องอาบน้ำที่มีผู้ชายนั่งเก้าอี้ตัวเล็กๆแล้วชำระร่างกายกันเป็นแถวๆ แบบนั้นแหละครับ โดยโรงอายน้ำแบบนี้เขาจะเรียกว่า “เซ็นโตะ” (ที่ไม่ใช่นักฟิสิกส์อัจฉริยะแต่อย่างใด) จำได้ว่าตอนนั้นช็อคมาก ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะต้องมาอาบน้ำในห้องแบบนี้ ผมก็พยายามมองหาห้องอาบน้ำ แต่มันไม่มีมีครับ มีเป็นคอกเล็กๆ ไม่มีประตู เฮ้อ… ตายโหง นี่ตูต้องแก้ผ้าอาบน้ำกับคนเป็นสิบตลอด 6-7 วันจริงดิ?? แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีว่า อืม เราก็มาคนเดียว และเหล่าชายฉกรรณ์ที่นั่งแก้ผ้าอาบน้ำตรงหน้าเรานั้นก็ไม่ได้รู้จักมักจี่กับเราด้วย โอเค ผมตัดสินใจกลับไปวางผ้าเช็ดตัวแล้วถอดกางเกงในออก แล้วเข้าไปนั่งอาบน้ำกับเขา ดีที่ผมใช้เวลาไม่นานก็เริ่มชินกับการแก้ผ้านั่งอาบน้ำกับพวกเขาแล้ว แต่ผมก็กลับมาอึ้งอีกต่อนึง เมื่อเห็นพนักงานทำความสะอาดห้องอาบน้ำที่เป็นผู้หญิงเข้ามาทำงานท่ามกลางดงชายหนุ่มที่กำลังเปลือยเปล่าอย่างไม่สะทกสะท้าน ฮั่นแน่… รู้นะว่าคิดอะไร? มันไม่มีเรื่องอย่างนั้นแน่นอนครับ เลิกหวังได้เลย นอกจากจะมีฝักบัวแล้ว ในห้องอาบน้ำรวมยังมีบ่อน้ำร้อนให้แช่อีกต่างหาก(ซึ่งต้องอาบน้ำก่อนนะครับและค่อยลงไป) พร้อมกับมีหน้าจอบอกอุณหภูมิน้ำด้วย
**เพราะเหตุนี้ไงครับ โรงแรมแคปซูลถึงห้ามไม่ให้คนมีรอยสักเข้ามาใช้บริการ เพราะว่ามีแต่ห้องอาบน้ำรวม**
และอีกฟากหนึ่งของห้องอาบน้ำจะมีโต๊ะเครื่องแป้ง ที่มีทั้งกระจกเงา อ่างล้างหน้า แปรงสีฟัน ยาสีฟัน มีดโกน ไดร์เป่าผม ไปจนถึงเครื่องหอมสำหรับผู้ชายเตรียมไว้ให้เสร็จสรรพ ว้าว… นี่มันสวรรค์ชัดๆ บริการดีกว่าร้านนวดสปาในเมืองไทยอีก
ในส่วนของโฮสเทล ก็เป็นห้องอาบน้ำแยกเป็นห้องๆ และแยกชาย-หญิงเหมือนปกตินั่นแหละครับ และไฟก็เปิด-ปิดอัตโนมัติเช่นเดียวกัน แต่ที่เด็ดของโฮสเทลที่ผมไปพักก็คือ ตรงหน้าประตูลิฟท์ของชั้นนอน จะมีจอแสดงผลแบบเรียลไทม์ว่าห้องอาบน้ำตอนนี้ว่างอยู่กี่ห้อง โคตรดี เวลาขึ้นไปก็ไม่ต้องรู้สึกนกที่ห้องอาบน้ำเต็ม ดีครับ
ความเย็นของแอร์
เย็นทั้งคู่ครับ ขนาดโรงแรมแคปซูลที่ว่าทึบห้าด้าน และมีช่องลมแค่ตรงปลายเท้า(ที่เรามุดเข้ามา) แต่ความเย็นก็สามารถเข้ามาถึงในแคปซูลได้สบายๆ
เครื่องซักผ้า&เครื่องอบผ้า
มีทั้งคู่ครับ เป็นแบบหยอดเหรียญทั้งคู่ แต่เคยใช้อยู่ตอนไปนอนโรงแรมแคปซูล เพราะว่าไม่มีเสื้อใส่แล้ว พอซักเสร็จ เข้าเครื่องอบผ้า พออบเสร็จ ทำไมมันยังชื้นอยู่วะ? หรือต้องอบหลายๆรอบ?
สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ
ในส่วนของโรงแรมแคปซูล จะมีร้านอาหารเล็กๆอยู่ด้านใน ซึ่งผมก็ไม่เคยกินอ่ะ แต่ดูจากราคาอาหาร จานหลักจะตกอยู่ที่ 2,000 – 3,000 เยน ซึ่งก็เอาเรื่องอยู่ แล้วก็มีเตียงนวด(นวดแบบอโรม่านะ) มีตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติ(มีตรงแถวแคปซูลไม่ค่อยเท่าไหร่ ห้องอาบน้ำยังมีเลย…) แต่ที่ผมอึ้งคือ มีโซนให้สูบบุหรี่ เป็นโซนปิดมิดชิดแบบตามสถานีรถไฟ(เห็นมิตรสหายเล่าให้ฟังว่ามันมีคนสูบบุหรี่เพลินจนหลับคาโซนด้วย) ถ้าพื้นที่สูบบุหรี่ในที่พักยังไม่เท่าไหร่(ก็ไม่เท่าไหร่จริงๆอ่ะ) มีที่อึ้งกว่านี้อีก นั่นคือตู้ปาจิงโกะครับ วอท? ไม่ใช่ตู้ปาจิงโกะด้านล่างตึกนะครับ มันมีตู้นึงตั้งอยู่แถวๆเครื่องซักผ้าในโรงแรมแคปซูลครับ เอ่อ… เข้าใจนะว่าปาจิงโกะมันเป็นเกมการพนันแห่งชาติ แต่ก็ไม่คิดว่าพวกลื้อจะเสพติดถึงกับเอามาตั้งในบริเวณเรือนนอน แต่ผมก็ไม่เห็นใครมาเล่นนะ
ในส่วนของโฮสเทล ก็มีร้านอาหารและคาเฟ่คอยให้บริการในช่วงกลางวัน มีตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติตั้งหน้าตึก แต่สิ่งอำนวยความสะดวกของโฮสเทลมันก็จะเป็นแนวแบ็คแพ็คเกอร์สไตล์อ่ะ ด้านล่างจะมีโต๊ะให้นั่งกินข้าวที่ซื้อมาจากข้างนอก มีกาน้ำ ไมโครเวฟ และอุปกรณ์การกินบางส่วน พร้อมกับอ่างล้าง แต่ถ้าไม่มีเงินกินจริงๆแล้วล่ะก็ สามารถหยิบอะไรไปกินได้ที่ฟู๊ดบ็อกซ์เลยครับ มันจะเป็นกล่องที่ผู้เข้าพักคนอื่นๆจะมาใส่เครื่องอุปโภคบริโภคที่เหลือกินเหลือใช้ไว้ให้ผู้เข้าพักคนอื่นๆได้หยิบเอาไปใช้ แต่แอบเซ็งตรงที่ว่า ตอนเข้าพักวันแรก กล่องนี้ว่างเปล่ามาก มาเต็มตอนคืนสุดท้ายก่อนบินกลับ ซึ่งเสบียงงวดนี้น่าจะมาจากผู้เข้าพักชาวอินโด เพราะเป็นหมี่โกเร็งกึ่งสำเร็จรูป มียี่ห้อที่ขายในไทยด้วย แต่ห่อบ้านเขาจะใหญ่กว่า ใหญ่พอๆกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเกาหลีเลย ผมแกะกินตอนดึกไปห่อนึง โคตรทุลักทุเลเลย จำได้ว่านั่งคลำกาต้มน้ำแบบงงๆจนพี่ฝรั่งมาช่วย แกกดสวิทช์ให้เสร็จสรรพ ผมนี่ขอบคุณเขาเลย แต่ทว่า…. ทำไมน้ำมันต้มนานจังวะ? พอผมเปิดกาน้ำเท่านั้นแหละ ไม่มีน้ำ…. เวรกรรม ดีที่น้ำก๊อกญี่ปุ่นดื่มได้ เลยเปิดจากก๊อกมาต้มเนี่ยแหละ
สรุปเลยละกัน ผมว่าที่พักสองแบบนี้มันก็ดีกันคนละแบบอ่ะ บางคนชอบแช่น้ำร้อน ชอบเล่นปาจิงโกะ ก็น่าจะชอบโรงแรมแคปซูล หรือบางคนมีรอยสัก หรือไม่ชอบที่จะต้องมาโชว์….ให้คนอื่นดู โฮสเทลก็ดีกว่า สำหรับผมนะ ผมให้โฮสเทลดีกว่า เพราะมันมีบรรยากาศที่สบายกว่าเยอะ แต่ถ้าทริปไหนอยู่วันอาทิตย์ ก็จะเลือกโรงแรมแคปซูลครับ เพราะจะตื่นมาดูไรเดอร์(หัวเราะ)
เอาเป็นว่า เมื่อทุกท่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ก็หวังว่าจะสนุกกับการไปเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียวกันนะครับ ขอให้โชคดีครับ